สธ. - กรมบัญชีกลาง สกัดสิทธิข้าราชการ ทุจริตเบิกจ่ายยาซ้ำซ้อน

สธ. - กรมบัญชีกลาง สกัดสิทธิข้าราชการ ทุจริตเบิกจ่ายยาซ้ำซ้อน

สธ. - กรมบัญชีกลาง MOU พัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูล-เบิกจ่าย "สิทธิข้าราชการ" ผ่านระบบ FDH  เพิ่มความแม่นยำ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ลดปัญหาทุจริตเดินสายเบิกรับยาซ้ำซ้อน

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นทบุรี  นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนางแพตริเซีย มงคลวณิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง

นพ.โอภาส กล่าวว่า สธ.เป็นผู้ให้บริการสาธารณสุขรายใหญ่ 60-70% ของประเทศภาครัฐอื่นๆ 20% และที่เหลือคือภาคเอกชนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการใช้เงินของระบบสาธารณสุขสูงมากกว่าค่า GDP ของประเทศ แต่รายละเอียดจะเห็นว่าที่โตขึ้นคือภาคเอกชน ประชาชนไปใช้บริการเอกชนมากเพาะดีมานมาก จึงเพิ่มค่ารักษามากขึ้น ส่วนภาครัฐมีการควบคุมการใช้เงินได้ค่อนข้างดี เบื้องต้นคงไม่ต้องไปตัดเงินในระบบสุขภาพ รัฐบาลควรเติมเงินในระบบสาธารณสุขไปที่ รพ.ภาครัฐ

ถ้าทำให้ภาครัฐมีศักยภาพเพิ่มขึ้น 2 อย่าง คือ ศักยภาพการรักษา (Medical Service) และศักยภาพที่เป็น Non Medical Service เช่น ตึกสวยงามต่างๆ ซึ่ง Medical service ภาครัฐไม่ได้ด้อยกว่าภาคเอกชน ยกเว้นพวกไฮเอนจริงๆ ถ้าเติมศักยภาพ รพ.ภาครัฐให้ประชาชนโดยเฉพาะคนชั้นกลางในเมืองเห็นว่ามีศักยภาพบริการเขาได้ ถ้าเขากลับมารักษาที่ รพ.ภาครัฐ จะทำให้ภาพรวมงบประมาณลดน้อยลง และเพิ่มศักยภาพขึ้น

การจะอธิบายให้ผู้บริหาร ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจเรื่องนี้ ต้องมีข้อมูลที่ดี ที่ผ่านมาระบบสาธารณสุขเก็บข้อมูลแบบอนาล็อก ไม่สามารถบอกอะไรที่เป็นรูปธรรมได้มากนัก แต่ปีที่แล้ว สธ.ปรับระบบเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นดิจิทัลทั้งหมด ตอนนี้ รพ.ของ สธ.ทั้งประเทศปรับเป็นดิจิทัลได้ประมาณ 95% ทั้งระบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน

"จะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มหาศาล เกิดความโปร่งใส บอกได้ว่า คนไข้ไปเบิกซ้ำซ้อนหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ ถ้ามีระบบดิจิทัลจะสามารถตอบได้ รวมถึงหมอ พยาบาล จะบันทึกข้อมูลแบบเรียลไทม์ แก้ไม่ได้ โกหกไม่ได้ และมีระบบ AI เข้ามาตอบ" นพ.โอภาสกล่าว

การร่วมมือกับกรมบัญชีกลางในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลบริการสุขภาพของผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ รวมถึงการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการผ่านระบบศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน (Financial Data Hub : FDH) กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางด้านข้อมูลการเงินที่จะช่วยให้การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลมีความรวดเร็ว แม่นยำและตรวจสอบได้

รวมทั้งยังนำไปใช้ในการพัฒนาระบบสุขภาพ (Service Plan) และการส่งต่อผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลส่งผลให้ได้รับการบริการที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การดำเนินการทั้งหมดจะเป็นไปตามมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ทั้ง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคล พ.ศ. 2562 และ พ.ร.บ.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 โดยมีกรอบระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี ซึ่งความร่วมมือกับกรมบัญชีกลางครั้งนี้ เชื่อว่าจะได้ข้อมูลที่เอาไปตรวจสอบ ใช้ประโยชน์ หรือวิเคราะห์ ในการป้องกันรักษา และนโยบายสุขภาพการเงินได้เป็นอย่างดี

 นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมก็มีความสนใจ เพราะเกิดปัญหาอย่างที่ทราบ กระทรวงกลาโหมเป็นระบบอนาล็อก แต่ละโรงก็ไม่สามารถดูข้อมูลกันได้ ตอนนี้กำลังหารือกันอยู่ เพราะเห็นว่าสธ.มี Financial Data Hub เห็นความร่วมมือระหว่าง สธ.กับกรมบัญชีกลางก็มีความสนใจจะมาร่วมตรงนี้ และมีอีกหลายหน่วยงาน ตอนนี้มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็กำลังเริ่มอยู่

“ถ้าร่วมกันทั้งหมดก็จะเป็นข้อมูลอันใหญ่ของประเทศ เอาข้อมูลไปใช้วิเคราะห์ต่างๆ ได้มากมาย วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีทำให้ข้อมูลระบบสาธารณสุขเรื่องการเงินเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเห็นด้วยว่าเราไม่ควรไปลดสวัสดิการของข้าราชการลง แต่ทำอย่างไรให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้”

 

ด้านนางแพตริเซีย กล่าวว่า ในส่วนของกรมบัญชีกลาง จะดำเนินการพัฒนาและออกแบบระบบเชื่อมโยงข้อมูลบริการสุขภาพและการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการจากระบบ FDH กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาการเบิกจ่าย ลดข้อผิดพลาดจากการบันทึกข้อมูลซ้ำ ลดความซ้ำซ้อนในการตรวจวินิจฉัยและจ่ายยา

รวมทั้งช่วยป้องกันปัญหาการเดินสายรับยา ทำให้สามารถกำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลข้าราชการให้มีความถูกต้อง เหมาะสม ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร

"อยากเห็นงบประมาณที่เราใส่ลงมาในเรื่องค่ารักษาพยาบาลน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าจะกำหนดเพดานให้ต่ำลง แต่อยากเห็นคนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น ข้อมูลชุดนี้จะเป็นอีกชุดข้อมูลหนึ่งที่จะใช้เรื่องกำกับดูแลการเบิกจ่ายให้เหมาะสม คุ้มค่า เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและงบประมาณ รวมถึงออกแบบนโยบายภาพรวมได้ดีต่อไป" นางแพตริเซียกล่าว

ทั้งนี้ ระบบข้อมูลของ สธ.ที่พัฒนาขึ้นนี้จะเป็นแกนหลักใหญ่ขับเคลื่อนข้อมูลทั้งหมด ถ้าทุกอย่างเสถียรเราจะได้มูฟมาใช้ระบบนี้ระบบเดียว และเลิกใช้หลายระบบพร้อมๆ กัน แต่ช่วงต้นคงต้องทำให้มั่นใจก่อนว่าข้อมูลมาครบและสอดคล้องกันได้ทุกมิติ