4 ชนิด การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล เชื้อดื้อยาเสียชีวิต 38,000 ราย

4 ชนิด การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล  เชื้อดื้อยาเสียชีวิต 38,000 ราย

4 ชนิดยา คนมักใช้อย่างไม่สมเหตุผล ขณะที่คนไทยเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาปีละ 38,000 ราย  เร่งขับเคลื่อนการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ปักหมุด 26 จังหวัดต้นแบบ 

KEY

POINTS

  • การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล สร้างผลกระทบมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ซึ่งประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพประมาณปีละ 38,000 ราย
  • การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล  ส่วนใหญ่เป็นการบริโภคยาที่เกินความจำเป็น ใช้ยาไม่ตรงกับโรค ใช้ยาที่ไม่ครบหรือไม่ถูกขนาดในการรักษา ใช้หรือได้รับยาซ้ำซ้อน ใช้ยาแพงขณะที่มียาชื่อสามัญที่ราคาถูกกว่า  ที่พบคนซื้อใช้บ่อยใน 4 ชนิดยา
  • ปักหมุด 26 จังหวัดเป็นต้นแบบ หยุดการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล  ตั้งเป้าคนไทยมีความรอบรู้เรื่องการใช้อย่างสมเหตุผล 60 % ทำให้เกิดผลลัพธ์ความเจ็บป่วยจากยาที่ป้องกันได้ลดลง และลดค่าใช้จ่ายด้านยาได้ 2,500 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป 

ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพประมาณปีละ 1.27 ล้านคน สําหรับประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพประมาณปีละ 38,000 ราย

ธนาคารโลก ระบุว่า ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ทั้งค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การเสียโอกาสในการแข่งขันด้านการตลาดของภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร ตลอดจนส่งผลกระทบต่อกําลังการผลิต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่รายได้ปานกลาง และรายได้ต่ำ จะได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากนี้ ยังได้คาดการณ์ว่าปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพจะทําให้คนจํานวน 28.3 ล้านคนเข้าสู่สภาวะความยากจนขั้นรุนแรงภายในปี 2593

4 ชนิดการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล

ส่วนหนึ่งของปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ มาจากการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า การใช้ยาที่ไม่สมเหตุผล  ส่วนใหญ่เป็นการบริโภคยาที่เกินความจำเป็น ใช้ยาไม่ตรงกับโรค ใช้ยาที่ไม่ครบหรือไม่ถูกขนาดในการรักษา ใช้หรือได้รับยาซ้ำซ้อน ใช้ยาแพงขณะที่มียาชื่อสามัญที่ราคาถูกกว่า 
สาเหตุเกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจเรื่อง แนวทางการรักษาและเรื่องหลักการใช้ยา รวมถึง ปัญหาเรื่องรูปแบบยา ตัวยา สูตรยา การซื้อการขายยาที่ไม่เหมาะสม ยาชุดยาที่ถูกถอนทะเบียนแล้วแต่ยังพบได้ในร้านชำ ร้านยา และการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ

โดยยาที่คนมักจะซื้อใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผลที่พบบ่อย ได้แก่ 

1.ยาสเตียรอยด์ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ที่น่ากลัวเกิดจากการที่มีการนำมาปลอมปนในผลิตภัณฑ์ยาหรือเครื่องสำอาง เพื่ออวดอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์  หากมีสเตียรอยด์อยู่ในร่างกายนานๆ จะก่อให้เกิดอันตราย

2.ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยาเอ็นเสด(NSAIDs) มีหลายรูปแบบ เช่น บรรจุเป็นแผง 10 เม็ด ยาเม็ดหรือแคปซูลบรรจุขวด หรือยาชุดแก้ปวดเมื่อยแก้ยอก ซึ่งการใช้ยากลุ่มนี้โดยไม่จำเป็นเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง แต่ไม่ได้ประโยชน์จากยา อีกทั้ง ได้ยาไม่ถูกขนาด ไม่ครบระยะเวลาในการรักษา ทำให้เสียเงิน แต่ไม่หาย และอาจเจ็บป่วยจากยา

3.ยาปฏิชีวนะ(ยาฆ่าเชื้อ) เป็นยารักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย  ซึ่งยาแต่ละชนิดจะใช้รักษาแบคทีเรียต่างชนิดกัน ขนาดของยาที่ใช้ ระยะเวลาในการรักษาแตกต่างกันตามชนิดของเชื้อและชนิดของยา ที่สำคัญต้องกินยาครบขนาด กินครบระยะเวลาในการรักษา เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา

แต่หลายชนิดมีขายในร้านชำ ซึ่งทั้งผู้ขาย และผู้ซื้อไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับยา ปัญหาที่จะเกิดขึ้น คือ อาจจะแพ้ หรือมีอาการข้างเคียงแต่ไม่ได้ประโยชน์ในการรักษา ได้ยาไม่ตรงกับชนิดของเชื้อ ได้ยาไม่ครบขนาด ไม่ครบระยะเวลาในการรักษา เกิดการดื้อยา  
4.ยาชุด เป็นยาหลายๆ ชนิดที่ขายเป็นชุด จะตั้งชื่อหรือโฆษณาสรรพคุณเกินจริง  ซึ่งอาจได้รับยาเกินจำเป็น เพราะอาการต่างๆ โดยมากใช้ยาอย่างเดียวก็พอ แต่เมื่อกินยาชุดจะได้รับยาอื่นด้วย  อาจได้รับยาปลอมหรือยาเสื่อมสภาพ ได้รับโทษจากยา เช่น แพ้ยา เกิดโรคเรื้อรัง เสพติดยา

ใช้ยาเกินจำเป็น เพราะรัฐจ่าย

ขณะที่ภาพรวมค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 86,544 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2551 เป็น180,585 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2561 เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะ พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านยาต่อหัวของประเทศไทยสูงเป็นอันดับต้น ๆ เทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว

เป็นผลจากการที่ประชาชนเข้าถึงยามากขึ้น และการใช้ยาเกินความจําเป็น เนื่องจากภาครัฐเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายด้านยาสําหรับประชาชนในประเทศเป็นหลัก คนไทยร่วมจ่ายค่าใช้จ่ายด้านยาโดยเฉลี่ยเพียง 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่ายด้านยาทั้งหมด  ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ไม่เพียงเท่านี้ ปัญหาการใช้ยาในชุมชน จากการซื้อยารักษาตนเองของคนไทย มีการศึกษาในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ พบพฤติกรรมการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาปฏิชีวนะ ยาชุด และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีการปลอมปนสเตียรอยด์

สาเหตุจากประชาชนขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ยา อีกยังทั้งขาดความตระหนักต่ออันตรายด้านสุขภาพ และผลกระทบอื่นๆ ที่จะตามมา รวมถึง ประชาชนสามารถเข้าถึงยาเหล่านี้ได้ง่าย ทั้งจากสถานพยาบาล ร้านขายยา ร้านค้าปลีก รถเร่ และตัวแทนจําหน่าย/การขายตรง

ยิ่งกว่านั้น ยังพบการใช้ยาในทางที่ผิด ซึ่งพบมากในวัยรุ่น เพื่อหวังผลให้ออกฤทธิ์ต่างๆ เช่น มีความสุข เพลิดเพลิน และเคลิ้ม. สูตรยาที่นํามาใช้ในทางที่ผิด อาจเป็นยาเดี่ยว หรือยาสูตรผสมแต่ไม่มีส่วนผสมที่แน่นอน. แหล่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และสื่อสังคมออนไลน์ เป็นช่องทางในการค้นหาและแลกเปลี่ยนข้อมูล เช่น วิธีการใช้ สูตรผสมยาและประสบการณ์การใช้ยาเหล่านี้

ปักหมุดต้นแบบ 26 จังหวัด

เมื่อเร็วๆนี้  มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การจัดทำแผนปฏิบัติการ(โรดแมป)เพื่อพัฒนาสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผลต้นแบบ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา ประธานอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ กล่าวถึงแนวทางเพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในระดับประเทศ หรือ RDU Country ว่า การใช้ยาอย่างสมเหตุผลคือ การที่ผู้ประกอบการวิชาชีพด้านสุขภาพมีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม เพื่อให้ประชาชนหรือผู้รับบริการ ได้รับยาและใช้ยาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย

ตามข้อบ่งชี้ทางคลินิก และความจำเป็นด้านสุขภาพของแต่ละบุคคลในขนาดยา วิธีใช้ ตามระยะเวลาที่เหมาะสม โดยเกิดความคุ้มค่าสูงสุดทั้งต่อบุคคลและสังคม รวมทั้ง ประชาชนมีความรอบรู้ ความเข้าใจและสามารถใช้ยาในการดูแลสุขภาพตนเอง  ตามความจำเป็นลดความเสี่ยงจากยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพกลุ่มเสี่ยง

 เรื่อง RDU Country  ขณะนี้พบว่า ภาคประชาสังคมยังไม่แข็งแรง  เพราะยังมีข้อมูลไม่ถูกต้องเข้ามา หรือประชาสังคมยังเข้าถึงข้อมูลการใช้ยาไม่ถูกต้อง นี่คือ จุดยากที่จะทำให้เข้าใจเรื่องนี้ ส่วนกองหน้า เปรียบดังโรงพยาบาล ผู้ให้บริการ มีความรู้ RDU ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาช่วยก็ต้องระวังด้วย

ซึ่งเทคโนโลยีเหมือนเหรียญ 2 ด้าน มีประโยชน์ แต่ก็ต้องระวังโทษ เช่น เมื่อมีร้านยาจ่ายยาตามโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดประเด็นใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล ซึ่งต้องทำให้เข้าใจว่า การไปร้านยาทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องได้ยาเสมอไป

ทั้งนี้ ตั้งเป้าผลผลิตการขับเคลื่อน RDU Country  ปี  2566-2570 มีจังหวัดใช้ยาอย่างสมเหตุผล เท่ากับหรือมากกว่า 50 % และประชาชนไทยมีความรอบรู้เรื่องการใช้อย่างสมเหตุผล 60 % ทำให้เกิดผลลัพธ์ความเจ็บป่วยจากยาที่ป้องกันได้กลุ่มเป้าหมายลดลง และลดค่าใช้จ่ายด้านยาได้  2,500 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป 

ในการดำเนินการพื้นที่เป้าหมายเป็นพื้นที่ต้นแบบพัฒนาการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ระดับจังหวัด และพัฒนาต้นแบบความรอบรู้การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล ในปีงบประมาณ 2568-2570 จำนวน 26 จังหวัด ได้แก่  เขตสุขภาพที่ 1 เชียงใหม่ แพร่  พะเยา 

  • เขตสุขภาพที่ 2 พิษณุโลก
  • เขตสุขภาพที่ 3 อุทัยธานี พิจิตร
  • เขตสุขภาพที่ 4 นครนายก สระบุรี
  • เขตสุขภาพที่ 5 เพชรบุรี นครปฐม สมุทรสงคราม
  • เขตสุขภาพที่ 6 ฉะเชิงเทรา ตราด
  • เขตสุขภาพที่ 7 ขอนแก่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม
  • เขตสุขภาพที่ 8 หนองคาย สกลนคร
  • เขตสุขภาพที่ 9 นครราชสีมา
  • เขตสุขภาพที่ 10 ยโสธร อำนาจเจริญ
  • เขตสุขภาพที่ 11 นครศรีธรรมราช
  • เขตสุขภาพที่ 12 ปัตตานี นราธิวาส 
  • เขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพฯ

เป้าไทยใช้ยาอย่างสมเหตุผล ปี 73

ด้านนพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมาการใช้ยาอย่างสมเหตุผล(RDU) เป็นหนึ่งในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพหรือ Service plan และเป็นมาตรฐาน HA แต่ประเด็นการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในสถานบริการสุขภาพปฐมภูมิ ภาคเอกชน และการจัดการระบบเพื่อการดูแลสุขภาพตนเองเบื้องต้นเมื่อเจ็บป่วย

รวมถึงความรอบรู้ของประชาชน ยังต้องพัฒนา อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพ และระบบที่เกี่ยวข้องให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล มีความร่วมมือของบุคลากรสุขภาพ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล( RDU Country) ภายในปี 2573   

“ปัญหาการใช้ยาไม่สมเหตุผล มีแทบทุกภาคส่วน อย่างในโรงพยาบาลก็ยังมี แต่ก็มีการขับเคลื่อนระดับหนึ่งแล้ว  ที่สำคัญคือ คนใช้ยาเองต้องมีการสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพื่อนำไปปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง เช่น ความเข้าใจว่าการรักษาโรคบางอย่างไม่ได้จำเป็นต้องใช้ยาก็จะช่วยได้ แต่หากไม่ทราบก็จะมีการใช้ยา หรือเรียกร้องยาโดยไม่จำเป็นได้ ตรงนี้ก็จะต้องมาหารือกันเพื่อขับเคลื่อนในส่วนของภาคประชาสังคมเพิ่มเติมให้มี” นพ.สุรโชค กล่าว 

สกัด 30 บาทรักษาทุกที่ ใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผล

ส่วนการป้องกันปัญหาจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งทำให้คนเข้าถึงรับยาฟรีได้ง่ายขึ้นในร้านขายยา นพ.สุรโชค กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการพูดคุยกันและสื่อสารกับประชาชน ให้เข้าใจเกี่ยวกับการเข้าร้านยาไม่จำเป็นต้องรับยาทุกครั้ง

รวมถึง มีการเชื่อมโยงกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)  เมื่อมีการจ่ายยาต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อนำไปสู่การใช้ยาอย่างสมเหตุผล สุดท้ายคณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล จะนำข้อมูลที่ได้มาดำเนินการขับเคลื่อนให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล

“ร้านยาที่มีเภสัชกร จะทราบว่า โรคชนิดใดหากไม่จำเป็นต้องใช้ยา ก็แนะนำประชาชนว่าปฏิบัติตัวอย่างโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา ซึ่งแนวทางเหล่านี้มีการขับเคลื่อนอยู่ในโครงการร้านยาของ 30 บาทรักษาทุกที่ รวมถึง ตู้ห่วงใย ที่จะมีการให้ปรึกษาโดยแพทย์ผ่านเทเลเมดิซีน และการจ่ายยาผ่านตู้ ซึ่งเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ก็ต้องมีการคำนึงถึงการใช้ยาอย่างสมเหตุผลด้วยเช่นกัน เช่น ยาบางอย่างไม่จำเป็นก็จะมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อจำกัดว่า ควรใช้หรือไม่ใช้อย่างไร” นพ.สุรโชค กล่าว

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์