ครม. เคาะงบฯรายหัว'บัตรทอง'เกิน 4,000 บาทปีแรก!

ครม. เคาะงบฯรายหัว'บัตรทอง'เกิน 4,000 บาทปีแรก!

ครม.อนุมัติงบบัตรทอง ปีงบประมาณ 69 รวม 2.65 แสนล้านบาท รายหัวทะลุ 4,000 บาทเป็นปีแรก เพิ่มงบผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนขึ้น 90% -ควบคุมป้องกันโรคเรื้อรังในชุมชนขึ้น 20% -เพิ่มงบหน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการนวัตกรรมขึ้นอีก 72.9%

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบอนุมัติงบประมาณ สำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง) ประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 265,295,582,100 บาท โดยในส่วนของเงินเหมาจ่ายรายหัวได้ปรับเพิ่มเป็น 4,175.99 บาท/คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 ประมาณ 9.09%

นอกจากนี้ยังได้เพิ่มสัดส่วนงบประมาณในหลายรายการ เช่น เพิ่มค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนขึ้น 90% เพิ่มค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิและหน่วยนวัตกรรม 72.9% หรือเพิ่มค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล เมืองพัทยาและกรุงเทพมหานคร ขึ้นอีก 53.45% เป็นต้น

จากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร การพัฒนาทางการแพทย์ และความซับซ้อนของระบบบริการสุขภาพ ฯลฯ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการให้บริการสาธารณสุข โดยเฉพาะค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ค่าบริการควบคุม ป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนและค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่งบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับคนไทยทุกคนทุกสิทธิยังมีสัดส่วนเพียง 12.73% ของงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อย

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณแผ่นดินและลดภาระความเสี่ยงทางการคลัง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจึงเห็นสมควรให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาดำเนินการเร่งสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้กับประชาชนผ่านการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และการใช้บริการทางด้านสาธารณสุขอย่างมีเหตุผล เพื่อลดความจำเป็นในการใช้บริการทางการแพทย์และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระยะยาว

อีกทั้งพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกัน เป็นระบบ Service Data ที่เชื่อมโยงข้อมูลของผู้ป่วยในทุกสิทธิการรักษาพยาบาลอย่างครบถ้วนและทันสมัย เพื่อช่วยลดความซ้ำซ้อนของบริการและเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามผลการรักษา

นอกจากนี้ ครม. ยังให้ข้อคิดเห็นในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการให้บริการสาธารณสุข โดยอาจจัดทำโครงการความร่วมมือในรูปแบบของการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ การให้บริการทางการแพทย์ขั้นพื้นฐาน หรือการใช้ทรัพยากรของภาคเอกชนเพื่อเสริมศักยภาพของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยลดภาระ ด้านงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ รวมทั้งให้ สปสช. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะพิจารณาให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานและบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่นโดยเร่งด่วน เพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้กับประชาชนในท้องถิ่น โดยส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมตามความพร้อม ความเหมาะสม และความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า งบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2569 จะแบ่งเป็น 9 ส่วนหลัก ประกอบด้วย

1.)ค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทอง จำนวน 47.5 ล้านคน วงเงิน 198,367,877,000 บาท คิดเป็นอัตราเหมาจ่ายรายหัว 4,175.99 บาท/คน เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 16,526,712,400 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.09%

2.)ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ประกอบด้วย ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ 3,651,761,000 บาท และค่าบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี 877,601,500 บาท รวมวงเงิน 4,529,362,500 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 319,917,000 บาท หรือ 7.60%

3.)ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง วงเงิน 16,074,980,500 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 2,568,814,300 บาท หรือ 19.02%

4.)ค่าบริการควบคุม ป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง (ผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังในชุมชน และผู้ป่วยโรคหอบหืดและปอดอุดกั้นเรื้อรัง) ประกอบด้วย 3 รายการ ได้แก่ งบบริการควบคุมป้องกันและรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง วงเงิน 1,355,313,000 บาท งบบริการผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังในชุมชน วงเงิน 132,154,000 บาท และงบบริการควบคุมสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง วงเงิน 73,012,800 บาท รวมวงเงิน 1,560,479,800 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 261,555,500 บาท หรือ 20.14%

5.)ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัยและพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงิน 1,490,288,000 บาท

6.)ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับการบริการระดับปฐมภูมิ ประกอบด้วย 6.1 บริการด้วยทีมแพทย์ประจำครอบครัว วงเงิน 153,518,900 บาท 6.2 บริการที่ร้านยา วงเงิน 701,464,600บาท 6.3 บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกโรงพยาบาล วงเงิน 199,147,700 บาท 6.4 ค่าบริการสาธารณสุขระบบทางไกล (Telehealth/Telemedicine) 171,883,500 บาท 6.5 บริการด้านยาและเวชภัณฑ์สำหรับการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ไปยังผู้ป่วยที่บ้าน วงเงิน 56,904,600 บาท 6.6 บริการนวัตกรรมด้านทันตกรรม วงเงิน 719,127,300 บาท 6.7 ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับหน่วยบริการร่วมให้บริการด้านการพยาบาล วงเงิน 1,101,597,900 บาท 6.8 บริการนวัตกรรมการแพทย์แผนไทย วงเงิน 87,829,200 บาท 6.9 บริการนวัตกรรมด้านเวชกรรม วงเงิน 483,932,800 บาท และ 6.10 บริการนวัตกรรมด้านกายภาพบำบัด วงเงิน 95,073,000 บาท รวมวงเงินทั้งหมด 3,770,479,500 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 1,590,251,500 บาท หรือ 72.94%

7.)ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย 7.1 ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล เมืองพัทยาและกรุงเทพมหานคร วงเงิน 3,870,312,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 1,348,105,000 บาท หรือ 53.45% 7.2 ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน วงเงิน 5,514,367,800 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 2,614,121,800 บาท หรือ 90.13% 7.3 ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด วงเงิน 541,016,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 10,048,000 บาท หรือ 1.89%

8.)เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการและผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการ วงเงิน 562,229,800 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 39,306,800 บาท หรือ 7.52%

และ 9.)ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สำหรับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรครายบุคคลและครอบครัว สำหรับคนไทยทุกคนทุกสิทธิ ประกอบด้วย 9.1 ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคทั่วไป จำนวน 67,627,000 คน วงเงิน 27,761,917,400 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จำนวน 2,377,956,900 บาท หรือ 9.37%  และ 9.2  ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDs) จำนวน 6,215,900 คน วงเงิน 1,252,271,800 บาท