‘กระท่อมไทย’ โอกาสโกอินเตอร์  สารสำคัญสูงกว่าประเทศส่งออกเบอร์ 1 หลายเท่า 

‘กระท่อมไทย’ โอกาสโกอินเตอร์  สารสำคัญสูงกว่าประเทศส่งออกเบอร์ 1 หลายเท่า 

“กระท่อมไทย” มีสารสำคัญไมทราไจนีน 66 % สูงกกว่าอินโดนีเซียที่มีการส่งออกเป็นอันดับ 1 ตลาดหลักเป็นอเมริกาถึง 38 เท่า และกฎหมายมีการปลดล็อกจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5แล้ว นับเป็นข้อได้เปรียบ

KEY

POINTS

  • กระท่อมไทย” มีสารสำคัญไมทราไจนีน 66 % สูงกกว่าอินโดนีเซียที่มีการส่งออกเป็นอันดับ 1 ตลาดหลักเป็นอเมริกาถึง 38 เท่า และไทยกฎหมายมีการปลดล็อกจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5แล้ว นับเป็นข้อได้เปรียบ
  • กระท่อมไทย” มีการนำมาเป็นส่วนผสม ทำเป็น “ผลิตภัณฑ์สุขภาพ” ขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ไม่มาก และ 5 อันดับโรคที่หมอพื้นบ้านไทยมีการนำมาใช้ในการรักษาโรค
  • กระท่อมไทย” มีโอกาสที่จะโกอินเตอร์ ล่าสุด อย.พิจารณาปรับเพิ่มการใส่สารไมทราไจนีนในผลิตภัณฑ์สุขภาพได้มากขึ้น และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยกระดับมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์สารสำคัญในใบกระท่อมให้มีมาตรฐานสากล

ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3  ที่มีการปลดล็อก “ใบกระท่อม” ให้ขายได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่กรณีผลิตภัณฑ์กระท่อม การใช้ใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์อื่นใดตามที่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติไว้ รวมถึง การนำเข้า การส่งออก การขาย และการโฆษณาต้องมีการขออนุญาตตามกฎหมายนั้น หากนำมาทำเป็น “ผลิตภัณฑ์สุขภาพ” จะต้องขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)
แม้ว่าจะมีการออกกฎหมายเฉพาะ  “พ.ร.บ.พืชกระท่อม 2565” ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.2565 ซึ่งมีการกำหนดเรื่อง “คุ้มครองบุคคลซึ่งอาจได้รับอันตรายจากการบริโภคใบกระท่อม และการป้องกันการใช้ใบกระท่อมในทางที่ผิด”ไว้ชัดเจน เช่น ห้ามขายใบกระท่อม หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่มีใบกระท่อมเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบแก่บุคคล ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี, สตรีมีครรภ์ ,สตรีให้นมบุตรหน้าที่ปิดประกาศหรือแจ้ง ณ สถานที่ขาย ให้ทราบถึงข้อห้ามขายแก่บุคคล

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์กระท่อมไทย 

แต่ดูเหมือนในเชิงธุรกิจ ณ ปัจจุบัน “กระท่อมไทย”จะยังไม่ได้ไปไกลกว่าการขายใบที่ทำได้ตามกฎหมาย และการลักลอบต้มน้ำใบกระท่อมขายตามริมถนน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
จากการตรวจสอบเบื้องต้น  ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากกระท่อม ที่มีการขึ้นทะเบียนกับอย. ราว 15 รายการ ใน 2 กลุ่ม

1.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 14 ผลิตภัณฑ์ เป็นสารสกัดกระท่อมแบบผง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมสารสกัดใบกระท่อม สารสกัดกระท่อม ใชใบกระท่อม กาแฟกระท่อม
2.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นน้ำใบกระท่อม  1 รายการ

ส่วนที่มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ อย่างเช่น ใบกระท่อมรสกาแฟคุมน้ำตาลในเลือดของสถาบันวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ,หมากฝรั่งที่มีการส่วนผสมของสารสกัดจากใบกระท่อม ,สเปรย์แก้ปวดกระท่อม และยาเม็ดผงฟู่ตำรับยาทำให้อดฝิ่น เป็นต้น 
ขณะที่ในต่างประเทศนั้น  มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น กระท่อมผง ,กระท่อมแคปซูล, ใบกระท่อมสารสกัดเข้มข้น ,Energy Shot ,เครื่องดื่มกาแฟผสมกระท่อม ,ลูกอมผสมกระท่อม,เยลลี่ผสมระท่อม และโลชั่นผสมกระท่อม เป็นต้น 

ฤทธิ์ของใบกระท่อม

ในใบกระท่อมนั้น มีสารสำคัญ ไมทราไจนีน(Mitragynine) ซึ่งมีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกมีการรวบรวมและเคยนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาตินั้น กรณีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า 

1.การลดอาการปวด ทั้งระงับปวดเฉียบพลัน และปวดเรื้อรัง  โดยฤทธิ์แก้ปวดของไมทราไจนีนมีความคล้ายคลึงกับโอปิออยด์ (opioids) แบบคลาสสิกและมอร์ฟีน 
2.การลดอาการถอนยา

3.สภาวะอื่นๆ เช่น  ไมทราไจนีน ฤทธิ์ขับถ่ายพยาธิ แก้ไอ ระงับความรู้สึก ,สารสกัดกระท่อม ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย แก้ท้องเสีย ลดไข้ และไมทราไจนีน+สารสกัดกระท่อม ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ,ลดความเครียด คลายความกังวล ลดความอยากอาหาร เป็นต้น 
ส่วนการวิจัยทางคลินิก อาสาสมัครเพศชายที่ใช้กระท่อมเป็นประจำ 26 คน  ดื่มน้ำต้มใบกระท่อม วันละ 3 เวลา เปรียบเทียบกับยาหลอก  พบสามารถทนทางต่อความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 1 ชั่วโมงหลังการบริโภคกระท่อม และไม่มีอาการหรือสัญญาณของการถอนยาในช่วง 10-20 ชั่วโมงหลังการหยุดกระท่อม

อีกหนึ่งงานวิจัย อาสาสมัครสุขภาพดีที่ใช้กระท่อมประจำ 10 คน ขนาด 6.25-11.5 มิลลิกรัมต่อวัน ระยะ 7 วันแรก และ 6.25-23 มิลลิกรัมในวันที่ 8  พบไม่เกิดผลข้างเคียงรนแรง แต่อาจพบความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจเพิ่มขึ้น หลังบริโภคกระท่อม 8 ชั่วโมง, กระท่อมออกฤทธิ์ในร่างกายประมาณ 1 วัน ,กระจายตัวในร่างกายได้ดี ,ขนาดความเข้มข้นที่บริโภคส่งผลต่อความเข้มข้นในเลือด ,ขับออกทางปัสสาวะได้น้อย คาดว่าเกิดการสลายตัวที่ตับ

ขณะที่การศึกษาแบบสังเกต มีรายงานผลวิจัยจากการใช้กระท่อมในระยะยาว ช่น ระดับคอเลสเตอรอลสูงขึ้น  ค่าไขมันLDL และHDL  สูงขึ้นเล็กน้อย ส่งผลต่อความจำและบกพร่องต่อการเรียนรู้ และมีการพึ่งพายาระดับรุนแรงถึงปานกลาง 

5  อาการแรกหมอพื้นบ้านใช้ใบกระท่อม 

ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยฯรวบรวมตํารบยาแผนไทยที่มีกระท่อมเป็นส่วนประกอบในตํารับ พบไม่น้อยกว่า 56 ตํารับ เมื่อตัดตํารับยาที่มีความซํ้าซ้อน คงเหลอ 31 ตํารับ

ในการรักษาโรคของหมอพื้นบ้านไทยด้วย โดย 5  อาการแรกที่หมอพื้นบ้านเลือกมาใช้ในการรักษา คือ 

  • โรคท้องร่วง 67.4 %
  • โรคเบาหวาน 63.3 %
  • โรคปวดเมื่อย 32.7 %
  • แก้ไอ 26.5 %
  • ขับพยาธิ แก้ปวดท้อง นอนไม่หลับ 14 %

กระท่อมไทย มีสารสำคัญสูง   

กระท่อม ภาษาอังกฤษเรียกว่า KRATOM เป็นไม้ยืนต้น พบในแถบเอเชียตะวนัออกเฉียงใต้  7 ประเทศ ที่มีรายงานพบ กระท่อมในแหล่งธรรมชาติ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และ ปาปัวนิวกินี ในประเทศไทย พบมากในภาคใต้ ภาคกลางที่ปทุมธานีและอยุธยา

ข้อมูลของกระท่อมทั้งประเทศปี 2566  มีเนื้อที่ปลูก 33,116 ไร่  เนื้อที่เก็บเกี่ยวผลผลิต 10,833 ไร่ ผลผลิต 6,652 ตัน 

จากข้อมูลกรมวิชาการเกษตร ณ  10 มี.ค.2567 มีเกษตรกรที่ปลูกแบบGAP คือ สามารถใช้สารเคมีได้เท่าที่จำเป็น แต่ต้องมีสารตกค้างไม่เกินค่ามาตรฐาน 3,626 ราย 11,335 ไร่ ปลูกแบบOT หรือ ไม่สามารถใช้สารเคมีได้ 8 ราย  15.73 ไร่
มีการปลูกใน 12 จังหวัด ได้แก่ พะเยา พิจิตร  สระบุรี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา ปทุมธานี นครปฐม ชุมพร สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช และสงขลา  
ราคาเฉลี่ยจากปี  2565 อยู่ที่ กิโลกรัมละ 89 บาท เหลือ 68 บาทในปี 25666
‘กระท่อมไทย’ โอกาสโกอินเตอร์  สารสำคัญสูงกว่าประเทศส่งออกเบอร์ 1 หลายเท่า 

3 สายพันธุ์กระท่อมไทยที่พบมาก คือ ก้านแดง แตงกวา และยักษ์ใหญ่(หางกั้ง ) ซึ่งปริมาณสารไมทราไจนีนในกระท่อมไทยราว 66 % มาเลเซีย 12 % และอินโดนีเซีย 0.37-1.70 %
แต่กลับพบว่า ประเทศอินโดนีเซีย ส่งออกกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ อันดับ 1 ครองตลาด 95 % เนื่องจากตลาดกระท่อมเปิดเสรี โดยระหว่างปี 2562-2563 ส่งออกปริมาณ 121,756 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 548,909 ดอลลาร์ ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก

โอกาสส่งออกกระท่อมไทย

ในการส่งเสริม “กระท่อมไทย” เคยมีการนำเข้าหารือในคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติเมื่อปี 2567 มีการกล่าวถึงว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะส่งออกกระท่อมไปยังสหรัฐอเมริกามากขึ้น จากจุดเด่นที่มีการยกเลิกกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 และกระท่อมไทยมีคุณภาพดี  มีสารสำคัญสูงกว่ากระท่อมในมาเลเซียถึง 5 เท่า และสูงกว่าอินโดนีเซียที่ส่งออกเบอร์ 1 ถึง 38 เท่า 
ทว่า มีสิ่งที่ระดับนโยบายจะต้องดำเนินการส่งเสริมสนับสนุน 2 เรื่องสำคัญ คือ

1.เพิ่มมูลค่าทางการตลาด จากข้อได้เปรียบเรื่องปริมาณสารสำคัญในใบกระท่อม จึงควรให้การผลิตวัตถุดิบกระท่อมในประเทศไทยมีคุณภาพมาตรฐาน ได้มาตรฐาร GAP และออร์แกนิกไทยแลนด์ และมีการควบคุมคุณภาพตามมาตรฐาน Thai Herbal Pharmacopoeia (THP) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) และการส่งเสริมพัฒนาสารสกัดกระท่อมในประเทศไทย ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ราคาถูก สามารถแข่งขันทางการตลาด

2.สนับสนุนงานวิจัยทางคลินิก อย่างเช่น รักษา, แก้ปวดแทนมอร์ฟีน เพื่อลดการนําเข้ามอร์ฟีนจากต่างประเทศ และการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพตด (Harm reduction) มุ่งเน้นการใช้ กระท่อมหรือตํารับยาที่มีส่วนผสมของกระท่อม ทดแทนเมธาโดน(methadone) เพื่อลดการนําเข้ายาเมธาโดน

อย.ให้เพิ่มปริมาณสารสำคัญในผลิตภัณฑ์

ในแง่ของการทำเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ผ่านมาดูเหมือนไม่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการมากนัก สาเหตุสำคัญเนื่องจากเดิมที่อย.มีการกำหนดปริมาณสารไมทราไจนีนที่ผสมในผลิตภัณฑ์ในขนาดการรับประทานต้องไม่เกินวันละ 0.2 มิลลิกรัม ขยับเป็น 1 มิลลิกรัม ซึ่งในทางการออกฤทธิ์มีการกล่าวว่า “น้อยเกินไป” แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าอย.ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคด้วย   
‘กระท่อมไทย’ โอกาสโกอินเตอร์  สารสำคัญสูงกว่าประเทศส่งออกเบอร์ 1 หลายเท่า 

ล่าสุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข  กล่าวว่า  อย. ได้ปรับปรุงการอนุญาตให้มีการใช้ส่วนประกอบของพืชกระท่อมหรือสารสกัดจากกระท่อมที่มีปริมาณสารไมทราไจนีน ในขนาดการรับประทาน ไม่เกินวันละ 3 มิลลิกรัม จากเดิมอนุมัติเพียง 1 มิลลิกรัมต่อวัน  ในการผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ทำให้ผู้ประกอบการสร้างผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถเพิ่มปริมาณไมทราไจนีนได้อีก แต่ต้องผ่านความเห็นชอบของ อย. ที่จะพิจารณาตามความเหมาะสม ให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่ง อย.มีกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร จัดให้มีคลินิกให้คำปรึกษาทุกสัปดาห์ เพื่อช่วยให้คำแนะนำต่อผู้ประกอบการให้การจัดเตรียมเอกสารคำขออนุญาต  นับเป็นการผลักดันพืชกระท่อมให้สามารถออกเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยต่อผู้บริโภค  

ผมเล็งเห็นประโยชน์ของพืชกระท่อม และผลักดันเรื่อยมา ตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีการปลดล็อกพืชกระท่อมไม่เป็นยาเสพติดให้โทษ ประชาชนสามารถปลูก เพื่อบริโภคและจำหน่ายได้ แต่ ก็ยังไม่สามารถทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภค จึงได้มาสานต่อ ขอให้อย.อนุญาตใช้สารสกัดใบกระท่อมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพในรูปแบบต่างๆ”นายสมศักดิ์กล่าว  

นอกจากนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังได้นำเรื่องนี้ไปต่อยอด จับมือกับภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านพืชกระท่อม ในการยกระดับมาตรฐานการตรวจวิเคราะห์ไมทราไจนีนในใบกระท่อมให้มีมาตรฐานสากล เพื่อเพิ่มขีดการแข่งขันในการส่งออกไปตลาดโลก นอกจากจะเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร  ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ปลูกกระท่อม

นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการอย. กล่าวว่า   การพิจารณาอนุญาตให้ปรับเพิ่มปริมาณเป็นผลจากการศึกษาวิจัยสังเคราะห์ความรู้เพื่อการใช้พืชกระท่อมอย่างปลอดภัยของ มหาวิทยาลัยมหิดล และการศึกษาถึงความเป็นพิษเรื้อรังในสัตว์ทดลองที่ทดสอบโดยมหาวิทยาลัยนเรศวร  ซึ่งผลิตภัณฑ์จากสารสกัดใบกระท่อมสามารถแสดงสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ โดยต้องแสดงคำเตือน ข้อควรระวังบนฉลากผลิตภัณฑ์ตามที่กำหนด เพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย

กระท่อมไทยมีคุณภาพ เพิ่มโอกาสส่งออก

ด้าน นายพรชัย ปัทมินทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดร.กระท่อม ไบโออ์ จำกัด (Dr.Kratom Bio) กล่าวว่า  บริษัท ดร.กระท่อม ไบโออ์ จำกัด ในเครือ บริษัท ดร.ซีบีดี จำกัด เป็นผู้ประกอบการ ธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ ที่ให้บริการครบวงจร โดยมุ่งเน้นในการวิจัย พัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารสกัดจากกัญชา กัญชง และกระท่อมในระดับมาตรฐานทางการแพทย์ พร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการผลักดันพืชกระท่อมให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในตลาดโลกอย่างยั่งยืน 
การร่วมมือกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในด้านการพัฒนามาตรฐานการตรวจวิเคราะห์และการศึกษาวิจัยพืชกระท่อมในประเทศไทย จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาลทั้งต่อเกษตรกรผู้ปลูกกระท่อม และผู้ประกอบการที่จะได้รับการรับรองคุณภาพผลผลิต สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดส่งออก

มีมาตรฐานอ้างอิงในการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ สร้างความน่าเชื่อถือแก่คู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ ลดอุปสรรคทางการค้า ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกพืชสมุนไพร สร้างรายได้เข้าประเทศอย่างต่อเนื่องตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2568 ช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนให้แก่ภาคเกษตรกรรมและธุรกิจเพื่อสุขภาพของประเทศไทย