'ยาธาลัสซีเมียGPO' ผลิตจากวัตถุดิบ น่านแซนด์บ๊อกซ์ ปลูก 1 ไร่เงินเท่า 50 ไร่

ตามรอยเส้นทาง “ยาธาลัสซีเมีย” ความร่วมมือระหว่างองค์การเภสัชกรรม (อภ.) - สถาบัน เค อะโกร-อินโนเวท ภายใต้มูลนิธิกสิกรไทย จนพบวัตถุดิบมีจุดเริ่มจากฟื้นฟู “ป่าน่าน” ที่จะใช้ “พืชยา”สร้างรายได้ 1 แสนต่อไร่ต่อปีเท่าทำข้าวโพด 40-50 ไร่
KEY
POINTS
- องค์การเภสัชกรรม (อภ.) - สถาบัน เค อะโกร-อินโนเวท ภายใต้มูลนิธิกสิกรไทย พัฒนายาและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพจากพืช เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ นันท์ จีพีโอ - โกลบิเน็กซ์เสริมการรักษา ลดความรุนแรงภาวะเหล็กเกิน-อักเสบในผู้ป่วยโรคเบต้าธาลัสซีเมีย
- ศึกษาวิจัยประสิทธิภาพเพิ่มเติมที่รพ.ศิริราช สร้างความเชื่อมั่นให้แพทย์กล้าสั่งจ่ายยา ก่อนผลักดันเข้าสู่บัญชียาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ผู้ป่วยใช้ฟรี จัดเป็นยาที่ต้องใช้เฉพาะในสถานพยาบาล จะไม่ได้มีการวางจำหน่ายในตลาดทั่วไป
- ตามรอย วัตถุดิบสำคัญยาตัวนี้ พบมาจาก “พืชยา” ที่มีจุดเริ่มของการฟื้นฟูป่าน่าน โครงการ “น่านแซนด์บ๊อกซ์”จากการสูญเสียพื้นที่ป่าไป 1.8 ไร่ หรือ 28%ของพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัด เป้าจะสร้างรายได้ 1 แสนบาทต่อไร่ต่อปี เท่าทำข้าวโพด 40-50 ไร่
องค์การเภสัชกรรม (อภ.)หรือGPO มีการดำเนินงานโครงการ “PLANTXGPO” ภายใต้แนวคิด GPO PLANT BASED MEDICINE มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรของอภ. และร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐ เอกชน ในการที่จะเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ
รวมทั้งส่งเสริมให้มีงานนวัตกรรมด้านสมุนไพร อภ. ได้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและตลาดต่างประเทศ แบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 หมวด
1. หมวดยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสำคัญจากพืชเป็นหลัก (Plant based drugs and supplements) เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ด้านการกีฬา อาทิ สเปรย์สมุนไพรที่มีส่วนผสมของไพลสำหรับพ่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย, ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมอาหารสารสกัดขมิ้นชันสูตรเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อ (Ca-Curmin) , ผลิตภัณฑ์สมุนไพรบำรุงร่างกาย เป็นต้น
2. Plant based cosmetics ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ Luminous botanic serum เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใช้สารสกัดจากสมุนไพรที่มีความสำคัญที่ช่วยบำรุงผิวและชะลอวัยจากธรรมชาตินานาชนิด อาทิ ขมิ้นชัน มะหาด ดอกโบตั๋น เกษรดอกบัวหลวง และใบบัวบก
3. Spa herbal products preparations ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ลูกประคบ และน้ำมันหอมระเหย
ยาจากขมิ้นชัน ลดความรุนแรงธาลัสซีเมีย
ล่าสุดอภ. ได้เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ นันท์ จีพีโอ - โกลบิเน็กซ์ ขณะนี้ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถออกสู่ตลาดได้ในเร็วๆนี้
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารสกัดขมิ้นชัน โดยใน 1 แคปซูล ประกอบไปด้วย สารสกัดขมิ้นชันเทียบเท่าสารเคอร์คูมินอยด์ 250 มิลลิกรัม มีสรรพคุณลดความรุนแรงของภาวะเครียดออกซิเดชัน และใช้เสริมการรักษาเพื่อลดความรุนแรงของภาวะเหล็กเกินและภาวะอักเสบ ในผู้ป่วยโรคเบต้าธาลัสซีเมีย
“นันท์ จีพีโอ - โกลบิเน็กซ์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่องค์การฯ ได้ร่วมกันกับมูลนิธิกสิกรไทย ในการพัฒนายาและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพจากพืช โดยองค์การฯ จะร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุน การวิจัย เพื่อการพัฒนายาและผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพจากพืชยา สนับสนุนข้อมูลด้าน วิชาการของพืชยา ตั้งแต่การปลูก การสกัด การควบคุมคุณภาพ การขึ้นทะเบียนเป็นยา หรือผลิตภัณฑ์ส่งเสริมสุขภาพ การผลิตเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และการร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจและชุมชนอย่างยั่งยืน”ภญ.วิลักษณ์ วังกานนท์ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าว
จุดเริ่มวัตถุดิบ จากฟื้นฟูป่าน่าน
จากที่ได้ทราบว่า วัตถุดิบขมิ้นชันที่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์นี้ ปลูกในพื้นที่จ.น่าน โดยทางสถาบัน เค อะโกร-อินโนเวท ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนปลูกพืชยา “กรุงเทพธุรกิจ” จึงตามรอยเส้นทางวัตถุดิบไปจนถึงจ.น่าน
ภาพหนึ่งที่ปรากฎต่อสายตา คือ “เขาโล้น” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเรียบร้อยแล้ว เตรียมที่จะมีการเผาเพื่อเตรียมดินในการปลูกฤดูกาลต่อไป และทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า 85 % ของ.จ.น่าน หรือราว 6.4 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ป่าสงวน ถือเป็นป่าต้นน้ำที่สำคัญอย่างมาก
ทว่า ข้อมูลเมื่อปี 2558 พบว่า พื้นที่ป่าสงวนของน่านคงเหลือราว 4.56 ล้านไร่ เท่ากับป่หายไป ประมาณ 1.8 ล้านไร่ หรือ 28%ของพื้นที่ป่าสงวน
เหตุผลสำคัญ คือ “การทำเกษตรเพื่อหารายได้ของชาวบ้าน” แต่เป็นพืชผลทางการเกษตรที่มี “รายได้ต่อ 1ไร่ต่อปีต่ำ” จึงต้องเพิ่มจำนวนไร่ในการปลูกเพื่อให้ได้รายได้มากขึ้น อีกทั้งเป็นพืชที่มีการแข่งขันสูงกังจังหวัดอื่นๆ ไม่มีความแตกต่างของสินค้า
โครงการ “น่านแซนด์บ๊อกซ์”จึงเกิดขึ้น และสถาบัน เค อะโกร-อินโนเวท ภายใต้มูลนิธิกสิกรไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2564 เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ในการหาแนวทางการแก้ไข ‘ปัญหาป่าต้นน้ำของจังหวัดน่าน’ อย่างยั่งยืน มีเป้าหมายในการสร้างรายได้ต่อไร่ที่สูง ลดพื้นที่ในการเพาะปลูก เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร เพื่อให้คนและป่าอยู่ร่วมกันได้
ไม่แค่ส่งเสริมปลูกพืชยา แต่สร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่
นายอนันต์ ลาภสุขสถิต ประธานสถาบันเค อะโกร-อินโนเวท กล่าวว่า สถาบันฯ มุ่งเป้าในการสร้างห่วงโซ่คุณค่าใหม่สำหรับ ‘ยาจากพืช’ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มแบบทวีคูณให้กับผลผลิตทางการเกษตรอันจะนำมาสู่การคืนป่าต้นน้ำอันมีค่าของประเทศ
กำหนด “วนเกษตรพฤกษเภสัช” (Pharma-Agroforestry) เป็นยุทธศาสตร์หลักบนความยั่งยืนที่จะแก้ปัญหาป่าน่าน ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มและนวัตกรรมทางพฤกษเภสัชจากการปลูกพืชให้เป็นยา สู่การส่งออกเป็นวัตถุดิบผลิตยาให้กับไทยและต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และยุโรป โดยได้รับเงินทุนตั้งต้นจากธนาคารกสิกรไทยราว 1,000 ล้านบาทมาดำเนินการ
แต่ก่อนที่จะมาถึงการสรุปลงที่ “พืชยา”นั้น ได้มีการศึกษาข้อมูลเชิงลึก ศึกษาโอกาสทางธุรกิจ แสวงหาความร่วมมือ และมองภาพตลอดห่วงโซ่การผลิต
ข้อมูลสำคัญ คือ หมอพื้นบ้านไทยหรือแพทย์แผนไทย มีการใช้ยาจากพืชมานานและมักเข้าป่าเพื่อหาตัวยา ขณะที่ ธนาคารโลก(World Bank) ระบุถึงเทรนด์เรื่องของ Medicinal plant หรือ “พืชเป็นยา” ซึ่งทั่วโลกมียาที่มาจากพืช 9 % ในจำนวนนี้อยู่ในยุโรป 50 % และในจำนวนนี้ 50 % จากประเทศเยอรมัน ยิ่งหลังโควิด-19 เทรนด์โลกเรื่อง Plant Based ยิ่งสูงขึ้นมาก
สำหรับประเทศไทย มีอัตราการใช้เติบโตสูงราว 16 %ต่อปี ซึ่งตัวเลขของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เกี่ยวกับการเบิกจ่ายของผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง 30 บาท เป็นค่ายาปีละราว 70,000 ล้านบาท เป็นส่วนของแพทย์แผนไทยน้อยกว่า 1 % ราว 700 ล้านบาทในจำนวนนี้เป็นค่านวด/ลูกประคบ 50 % และอีก 50 % ค่ายาฟ้าทะลายโจร และกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)มีการตั้งเป้าเปอร์เซ็นต์ในการใช้ยาสมุนไพรในรพ.สธ.
แม้พื้นที่ประเทศไทยจะมีจุดเด่นที่สามารถปลูกพืชได้ทั้งประเทศ อนันต์ บอกว่า ค้นพบปัญหาของไทยตรงที่ ปลูกสมุนไพรแล้วส่งออกไปขายเป็นผลผลิตเกษตร แล้วกลับต้องนำเข้าสารสกัดสมุนไพรหรือสารตั้งต้นผลิตยาจากต่างประเทศ
อย่างเช่น ขมิ้นชันไทยส่งออกเป็นง้าว 20บาทต่อกิโลกกรัม เมื่อต่างประเทศเอาไปทำเป็นผง กิโลกรัมละ 1,000 บาท และทำเป็นเครื่องสำอางแบรนด์หรูอาจจะนับเป็นหยดละหมื่น เป็นต้น
แปลว่าไทยแทบจะไม่มีอุตสาหกรรมผลิตยาจากพืชในประเทศ สอดรับกับฐานข้อมูลของธนาคารกสิกร ที่ไม่ได้มีการจัดหมวดอุตสาหกรรมยาไทย แต่อยู่หมวดของ เทรดดิ้ง แบบซื้อมาขายไป นอกจากนี้ แพทย์ก็ไม่กล้าสั่งจ่ายยาสมุนไพร เนื่องจากไม่มีกระบวนการพัฒนายาสมุนไพรที่เป็นมาตรฐานสากล
ทำ 1 ไร่ รายได้เท่าทำ 50 ไร่
พืชเกษตรเดิมที่ชาวบ้านปลูก สร้างรายได้ต่อไร่ต่อปี อยู่ที่ 900-3,000 บาท แต่ละครัวเรือนจึงต้องแสวงหาพื้นที่ปลูกให้ได้ราว 50 ไร่เพื่อให้มีรายได้ต่อปีอยู่ที่ประมาณ 1.5 แสนบาท ส่วนรายจ่ายจะอยู่ที่ 60,000 -70,000 บาทต่อปี ซึ่งมีชาวบ้านทำเกษตรในพื้นที่ป่าสงวนราว 150,000 ครัวเรือน
“จะให้ป่าอยู่ได้ ป่าต้องสร้างรายได้ให้ชาวบ้าน และต้องมากกว่าค่าใช้จ่ายต่อปี ซึ่งพืชเกษตรอย่างข้าว มัน ข้าวโพด ยางไม่มีทางตอบโจทย์นี้ สรุปลงตรงพืชยา ที่สถาบันฯตั้งเป้ารายได้สุทธิไว้ที่ 2 แสนบาทต่อครัวเรือนต่อปีบนพื้นที่ 2 ไร่”อนันต์กล่าว
เท่ากับรายได้ต่อไร่อยู่ที่ 1 แสนบาทต่อคนต่อปี ซึ่งมากกว่ารายจ่ายของชาวบ้านและเทียบเท่ากับการปลูกพืชเดิมที่ต้องทำการเกษตรถึง 40-50 ไร่ แต่พืชยาทำเพียง 1 ไร่ ปัจจุบันมีชาวบ้านเข้าร่วม 39 ครัวเรือน ปี 2568 เป้าหมายอยู่ที่ 100 ครัวเรือน และปี 2569 อยู่ที่ 500 ครัวเรือน
“แล้วจะคืนป่ามาได้อย่างไร เชื่อว่าเมื่อชาวบ้านใช้พื้นที่ปลูกพืชยาเพียง1-2 ไร่แล้วได้รายได้เท่ากับการปลูกพืชเดิมที่ต้องทำ 40-50 ไร่ ซึ่งก็จะทำงานในพื้นที่น้อยลงแต่รายได้ไม่ลด เขาก็จะทำเพียง 2 ไร่ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็จะคืนเป็นพื้นที่ป่า”อนันต์กล่าว
ปลูกพืชยาตามความต้องการ
อนันต์ อธิบายเพิ่มเติมว่า เงื่อนไขสำคัญของเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการนี้ คือ เป็นพื้นที่อยู่ในป่าที่ได้สิทธิทำกินถูกต้องไม่ผิดกฎหมาย ,ปลูกไม่เกินครัวเรือนละ 2 ไร่ และไม่ได้ปลูกพืชเชิงเดี่ยว หรือปลูกพืชยาตัวเดียวตลอด แต่เป็นเกษตรผสมผสาน ทั้งไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก พืชยา
อย่างพื้นที่สาธิตของสถาบันฯ 1 ไร่จากพื้นที่ตั้ง 30 ไร่ ซึ่งได้รับการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน จะปลูกตั้งแต่สัก ยางนา อัญชัน มะแว้งต้น พรมมิ ขมิ้น กระชาย และอื่นๆ เป็นต้น
ส่วนชนิดของพืชยาที่จะให้เกษตรกรปลูกนั้น ก่อนปลูกแต่ละปีจะมีทีมนักวิจัยและคณะทำงานพิจารณาว่าจะใช้พืชชนิดใดเป็นวัตถุดิบผลิตยาและผลิตภัณฑ์ ก็จะให้ปลูกชนิดนั้น แต่ละครัวเรือนจะได้รับการจัดสรรไม่เหมือนกันแยกเป็นกลุ่มพืช
สถาบันฯจะมีการเพาะพันธุ์ แจกต้นกล้าให้เกษตรกร รวมถึง แนะนำวิธีการปลูก ดูแลรักษาแบบไม่ใช้สารเคมีใดๆ การปรับปรุงดิน และให้คำแนะนำแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ผ่านมาตรฐานการนำไปผลิตเป็นยาและผลิตสุขภาพต่างๆ โดยจะให้ปลูกและผลผลิตออกในเวลาใกล้เคียงกัน แล้วนำมาส่งที่สถาบันฯเพื่อเข้าโรงงานแปรรูที่ได้มาตรฐานGMP และในปี 2569 จะมีการจัดตั้งห้องแล็ปด้วย
“ถามว่าตอนนี้ชาวบ้านที่ร่วมโครงการมีรายได้ถึง 1 แสนบาทต่อไร่หรือยัง ก็ต้องบอกว่ายังเป็นช่วงเริ่มต้น แต่ชาวบ้านก็จะมีทั้งเงินรายเดือน รายไตรมาส เงินปีและเงินมรดกจากปลูกไม้ยืนต้น โดยเรารับประกันถ้ามาทำแล้วไม่แตกแถวไปทำนอกเงื่อนไข มีผลผลิตเกิดขึ้นก็รับซื้อทั้งหมดในราคาที่การันตีไว้ล่วงหน้า”อนันต์กล่าว
พืชยาป่าน่านเป็น 5 ผลิตภัณฑ์
ณ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบจากโครงการฟื้นฟูป่าน่าน ซึ่งสถาบันฯร่วมมือกับอภ. มหาวิทยาลัยและภาคเอกชนต่างๆ ดำเนินการสำเร็จแล้ว 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่
1.ภัตต์ พรมมิเมลตี้ จากพืชพรมมิ เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ
2.นันท์ จีพีโอ – โกลบิเน็กซ์ จากพืชขมิ้นชัน เป็นยาจากสมุนไพร(ยาพัฒนาจากสมุนไพร)
3.นันท์ ซอร์กอน จากพืชฟ้าทะลายโจร เป็นยาจากสมุนไพร(ยาพัฒนาจากสมุนไพร)
4.นันท์ เมโดวีณา จากพืชยี่หร่าและขิง เป็นยาแผนปัจจุบัน ที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ
5.นันท์ ฟีเวอร์ฟิวเวอร์ จากพืชฟ้าทะลายโจร เป็นยาจากสมุนไพร(ยาพัฒนาจากสมุนไพร)
วิจัยที่ศิริราช สร้างความเชื่อมั่นแพทย์
สำหรับ “นันท์ จีพีโอ – โกลบิเน็กซ์” ซึ่งผ่านอย.แล้วและมีผลการศึกษาเพียงพอแล้ว แต่จะมีการสร้างความเชื่อมั่นในการสั่งจ่ายให้กับแพทย์มากขึ้น จึงจะมีการศึกษาประสิทธิผลของยาเพิ่มเติมเป็นไซด์ที่รพ.ศิริราช ในผู้ป่วยมากกว่า 100 คน โดยสถาบันฯจะส่งวัตถุดิบขมิ้นชันให้อภ.ผลิตล็อตแรกเพื่อนำมาใช้ตรงนี้ หากสรุปผลในโครงการนี้ เชื่อว่าจะทำให้แพทย์มีการสั่งจ่ายยาสมุนไพรตัวนี้ให้กับผู้ป่วยโรคเบต้าธาลัสซีเมียมากยิ่งขึ้น
“นันท์ จีพีโอ – โกลบิเน็กซ์ จัดเป็นยาที่ต้องใช้เฉพาะในสถานพยาบาล จะไม่ได้มีการวางจำหน่ายในตลาดทั่วไป เมื่อผลศึกษาวิจัยเพิ่มเติมออกมาแล้ว ก็จะผลักดันยาตัวนี้เข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติที่เป็นยาสมุนไพรต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถใช้ยาสมุนไพรตัวนี้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะจะครอบคลุมตามสิทธิรักษาพยาบาล ”ภญ.วิลักษณ์ กล่าว