โรคที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนผสมของ 'ชาเย็น'

โรคที่ซ่อนเร้นอยู่ในส่วนผสมของ 'ชาเย็น'

“ชาเย็น”ผู้ร้ายก่อนิ่วในไต?  เมื่อแกะส่วนผสมของเมนูยอดนิยมนี้ พบว่ายังสามารถเพิ่มความเสี่ยงโรคอื่นๆด้วย หากดื่มเป็นประจำ  พร้อม 7 ข้อที่สายชาต้องรู้ ดื่มแบบใส่ใจสุขภาพ

KEY

POINTS

  • ชาไทยเย็น หรือชาเย็น หนึ่งในเมนูยอดฮิตที่หลายคนดื่มเป็นประจำทุกวัน โดยข้อมูลคนไทยกว่า 26 % บริโภคเครื่องดื่มชง อย่างชา กาแฟ น้ำหวาน ชานม
  • “ชาเย็น” รวมถึง “ชานมไข่มุก” มีส่วนผสมที่ หากดื่มบ่อยหรือเป็นประจำทุกวัน ทำให้เกิดความเสี่ยงโรคนิ่วในไต  โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน หลอดเลือดสมองและหัวใจ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วน
  • 7 ข้อ ดื่มชาเย็นแบบใส่ใจสุขภาพ ลดความเสี่ยงของอันตรายต่อร่างกาย ตามคำแนะนำของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สาวกชาควรต้องรู้

“ชาไทยเย็น” หรือที่คนไทยเรียกว่า “ชาเย็น” หรือ Thai Iced Tea หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมของคนไทย โดยจากการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร ปี 2564 ของกรมอนามัย พบว่า ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป บริโภคเครื่องดื่มชง (ชา กาแฟ น้ำหวาน ชานม) สูงถึง 26.3% และ กลุ่มอายุ 45-59 ปี  ดื่มเครื่องดื่มชงมากที่สุด 34.8 %
ที่สำคัญ ชาไทยเย็น เคยได้รับการอันดับจากการสำรวจของเว็บไซต์ TasteAtLas.com  ให้เป็นอันดับ 7  ของเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ที่ดีที่สุดในโลก จากการสำรวจทั้งหมด 100 อันดับทั่วโลก นั่นย่อมแปลว่าเมนูนี้กำลังโด่งดังในระดับโลกด้วย
แต่ด้วยส่วนผสมต่างๆในเครื่องดื่มชาไทยเย็น รวมไปจนถึงชานมไข่มุก สามารถเพิ่มความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้ โดยเฉพาะหากดื่มเป็นประจำทุกๆวัน 

ชาเย็นความเสี่ยงนิ่วในไต

ล่าสุด เมื่อต้นปี 2568 มีผู้ใช้เฟชบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความว่าผลของการดื่มแต่ชาเย็น  ไม่เน้นน้ำเปล่า

  • ย้ำว่าเมื่อก่อน กินทุกวัน ตื่นเช้ามาต้องหิ้วแก้วชาเย็น วันไหนไม่ได้กินนี่ ปวดหัว เบลอทั้งวัน
  • 31/3/67 ตรวจสุขภาพ เจอก้อนนิ่วในกรวยไตจ้า ขนาดใหญ่มาก 5.4*3 ซม. โดยไม่มีอาการอะไรเลย
  • 11/4/67 รพ.ตรัง แจ้งต้องผ่าตัดเปิดหน้าท้อง กินยาไม่หลุดแล้ว เพราะเป็นนิ่วเขากวาง ขนาดใหญ่มาก นั่นคือ ระยะเวลา อย่างน้อย ในการเป็นไม่ต่ำกว่า 4 ปี ที่นิ่วแฝงอยู่ในกรวยไตข้างซ้าย เลยขอกลับมาตัดสินใจ
  • 8/5/67 ตัดสินใจเดินทางมา รพ.สงขลานครินทร์  ขอประวัติจากรพ.ตรังมา
  • 19/8/67 มอ.นัดผ่าตัดรอบแรก แต่ต้องเลื่อน เพราะคิวโดยแทรกให้ผู้ป่วยวิกฤต
  • 1/10/67 เลื่อนนัด อาจารย์หมอติดประชุม
  • 6/1/68 วันนี้ได้คิว เตรียมตัวขึ้นเขียง ด้วยใจตุ้มๆต้อมๆ แอบกลัว เพราะหมอบอกมันใหญ่ จนเบียดเนื้อไต ปล่อยไว้นานๆ ไตพังแน่นอน

แม้เมื่อการผ่าตัดผ่านไปด้วยดีแล้ว ปรากฎภาพนิ่วที่ผ่าออกมานั้นเป็น “นิ่วเขากวาง” ซึ่งสาเหตุสำคัญเกิดจากการดื่มน้ำน้อยและมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเรื้อรัง

ทว่า กรณีชาเย็นกับการเกิด “นิ่วในไต” กรมอนามัยเคยเตือนเรื่องนี้ไว้ว่า  “ชานมเย็น หวาน ๆ ยังแอบแฝงอันตรายที่น่ากลัว นั่นก็คือ นิ่วในไต"

เกิดจากการตกผลึกของแร่ธาตุต่างๆ ในปัสสาวะ จนรวมตัวกันเป็นก้อนแข็ง ๆ มีขนาดตั้งแต่เม็ดทรายยันลูก จะไปอุดตันทางเดินปัสสาวะ ทำให้อั้นฉี่ไม่ได้ ปวดท้องรุนแรง บางรายถึงขั้นไตวาย ขณะที่ ชานมหวาน มีสารอาหารบางอย่าง ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดนิ่วในไต ได้แก่

  •  น้ำตาลฟรุคโตส ฟรุคโตสจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไตทำงานหนัก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว
  •  แคลเซียม ชานมบางชนิดมีส่วนผสมของนม ซึ่งมีแคลเซียมสูง แคลเซียมส่วนเกินจะถูกขับออกทางปัสสาวะ และอาจตกผลึกเป็นนิ่วได้
  • ออกซาเลต สารนี้พบได้ในใบชา ออกซาเลตจะจับตัวกับแคลเซียม กลายเป็นนิ่วชนิดแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งเป็นชนิดที่พบมากที่สุด

ชาเย็น-ชานมไข่มุกดื่มประจำ เสี่ยงสารพัดโรค

กรมอนามัย ระบุด้วยว่า  ในชาไทย หรือ ชาเย็น 1 แก้ว ปริมาณ 200 มิลลิตร ให้พลังงานประมาณ 430 กิโลแคลอรี ขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละร้าน มีคาร์โบไฮเดรต 69 กรัม ไขมัน 15 กรัม น้ำตาล 53 กรัม หรือประมาณ 13 ช้อนชา ขณะที่แต่ละวัน  ร่างกายไม่ควรได้รับน้ำตาลที่มากเกิน 6 ช้อนชา

ดังนั้น หากดื่มบ่อยหรือเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เกิดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน หลอดเลือดสมองและหัวใจ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วนลงพุงได้
เริ่มจาก ไขมันในชาเย็น ซึ่งศูนย์วิจัยและประเมินความเสี่ยงด้านอาหารปลอดภัย สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เคยสุ่มเก็บตัวอย่างชาเย็น ในเขตกรุงเทพ จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ร้านค้า เพื่อนำมาตรวจวิเคราะห์ปริมาณไขมัน 

พบว่า ชาเย็น 1 แก้ว ขนาด 250-300 มิลลิลิตร มีปริมาณไขมันทั้งหมด อยู่ในช่วง 12.05 - 15.98 กรัม โดยปริมาณไขมันทั้งหมดที่แนะนําให้คนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปบริโภคไม่เกิน  65 กรัมต่อวัน  เท่ากับว่าการดื่มชาเย็น 2 แก้ว ได้รับไขมันเกือบ 50 % ของปริมาณไขมันทั้งหมดที่แนะนำต่อวันแล้ว 

ส่วน  น้ำตาลใน “ชาเย็น”  จากการสุ่มเก็บตัวอย่างชาเย็น  ที่จำหน่ายในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 5 ตัวอย่าง โดยสถาบันอาหารเช่นเดียวกัน แล้วนำมาตรวจวิเคราะห์ปริมาณน้ำตาลทั้งหมด ได้แก่ ฟรักโทส, กลูโคส, ซูโครส, มอลโทส, แล็กโทส
พบว่า ชาเย็น  1 แก้ว  ขนาด 250-300 มิลลิลิตร จะมีน้ำตาลทั้งหมดในปริมาณ  53.27 -  67.14 กรัม หรือประมาณ  13 – 16.79 ช้อนชา

อันตรายครีมเทียมในชาเย็น

ไม่เพียงเท่านี้  บางสูตรมีการใส่ “ครีมเทียม”ในชาเย็นด้วย  พญ.สายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวว่า ครีมเทียมเป็นแหล่งของไขมัน และมีส่วนประกอบที่เป็นสารให้ความหวานมากถึง 60 % รวมทั้งปริมาณที่ใช้ต่อการผสมในเครื่องดื่ม อาทิ ชา กาแฟ ค่อนข้างมาก

หากกินทุกวันเป็นเวลานาน โดยไม่มีการออกกำลังกาย ก็จะเกิดการสะสมไขมันตรงตับ ในรูปของไกลโคเจน ซึ่งถ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเกิดเป็นไขมันสะสม ส่งผลทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง และก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในที่สุด

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) จึงแนะนำ ควรบริโภคพลังงานจากกรดไขมันอิ่มตัวไม่เกิน 10 %ของปริมาณพลังงานที่บริโภคต่อวัน หรือกรดไขมันอิ่มตัว 22 กรัมต่อวัน หรือ 5 กรัมต่อมื้อ

ชานมไข่มุกเสี่ยงเช่นกัน

กรณีชานมไข่มุกก็มีความเสี่ยงไม่ต่างจากชาเย็น  หากดื่มเป็นประจำอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็วและนำไปสู่การเป็นโรคอ้วน  เบาหวาน  หัวใจและหลอดเลือดได้ เนื่องจากชานมไข่มุกส่วนใหญ่เป็นการเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม นมผง ครีมเทียม และไข่มุกลงในชา ทำให้ได้พลังงานมากขึ้นกว่าน้ำชาทั่วไปมาก

ข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ชานมไข่มุก 1 แก้ว ให้พลังงาน ประมาณ 240 – 360 กิโลแคลอรี   โดยร่างกายจะได้รับคาร์โบไฮเดรต 45 – 62 กรัม ไขมัน 0 – 14 กรัม  โปรตีน 0.4 – 2 กรัม ความแตกต่างของพลังงานและสารอาหารขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม ไข่มุก นมผง และครีมเทียมที่ใส่ลงไป

ไข่มุก ผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง จัดอยู่ในอาหารหมวดเดียวกับแป้งและน้ำตาล โดยไข่มุก 30 กรัม ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี ซึ่งพลังงานที่ได้จากการดื่มชานมไข่มุก 1 แก้ว โดยประมาณ ใกล้เคียงกับการกินก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม หรือเท่ากับข้าวประมาณ 3 – 4 ทัพพี

การดื่มชานมไข่มุก 1 แก้ว จะได้รับพลังงานค่อนข้างสูง เทียบเท่ากับพลังงานจากการกินอาหารปกติ 1 มื้อ โดยประมาณ และสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรงคือ น้ำตาลที่ใส่ ลงในชานมและไข่มุก ถือเป็นพลังงานสูญเปล่า (Empty Calories) คือได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

หลายการศึกษาระบุว่า การได้รับน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลและระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น   โรคอ้วน  เบาหวาน และหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ ครีมเทียมที่ใส่ลงในชานมส่วนใหญ่ผลิตจากไขมันปาล์ม ซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวค่อนข้างสูง ส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเช่นเดียวกัน

วิธีดื่มชาเย็นแบบใส่ใจสุขภาพ

กรมอนามัย แนะนำในวิธีดื่มชาเย็นแบบใส่ใจสุขภาพ

1.ไม่ควรดื่มเป็นประจำต่อเนื่องทุกวัน  แนะนำสัปดาห์ละ 1 – 2 แก้วก็เพียงพอ

2.ลดหวาน สั่งแบบหวานน้อย หรือไม่ใส่น้ำตาลเลยยิ่งดี

3.ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ น้ำเปล่าช่วยเจือจางปัสสาวะ ลดการตกผลึกของแร่ธาตุ

4.เลือกนมไขมันต่ำ นมพร่องมันเนยหรือนมถั่วเหลือง ช่วยลดปริมาณแคลเซียม

5.ทานผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย มะเขือเทศ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว

6.ควรหมั่นออกกำลังกาย  เพื่อเป็นการเผาผลาญพลังงานที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันด้วย

7.ขอความร่วมมือผู้ประกอบการพัฒนาสูตร  ให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคและยังส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น สูตรหวานน้อย  สูตรไขมันต่ำ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ไม่เฉพาะแต่เพียงชาเย็น หรือชานมไข่มุกเท่านั้น เครื่องดื่มชงอื่นๆที่มีส่วนผสมน้ำตาล ครีมเทียม นมข้นหวาน นมในปริมาณมาก ก็ล้วนเสี่ยงต่อการเกิดโรค โดยเฉพาะโรคNCDsทั้งสิ้น