แฉ 'พฤติการณ์ฉ้อโกง 'รักษาฟรี สิทธิบัตรทอง 30 บาท

แฉ 'พฤติการณ์ฉ้อโกง 'รักษาฟรี สิทธิบัตรทอง 30 บาท

สปสช.เผยพฤติการณ์คนฉ้อโกงรักษาสิทธิบัตรทอง 30 บาท ตระเวนเบิกยา ปี 2567 พบ 3 ราย มากสุดเบิก 318 ขวด จากไปพบแพทย์ 118 ครั้ง ใน 31 รพ. เดินหน้าเอาผิดโทษถึงติดคุก เตรียมหารือลดระยะเวลารับยาบางชนิด

จากที่มีข้อมูลเผยแพร่ในสื่อโซเชียลมีเดีย กรณีมีคุณแม่นำ "ยาพ่น" เพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้และคัดจมูก ซึ่งได้รับการพาลูกเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และนำมาขายทางออนไลน์ โดยระบุถึงการใช้ สิทธิบัตรทอง 30 บาท รักษาทุกที่ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นการไปรับยาในความถี่ที่แปลกๆ ผิดปกติจริง จึงได้มอบหมายให้ สปสช.เขตที่เกี่ยวข้อง ไปตรวจสอบในรายละเอียดว่าเป็นการไปรับยาที่หน่วยบริการหน่วยเดียวหรือไปรับยาในหลายๆ หน่วยบริการ และให้ สปสช.เขตไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนนั้น

พฤติการณ์เข้าข่ายฉ้อโกง สิทธิบัตรทอง 30 บาท 

เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 ที่ สถานีกลางบางซื่อ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงปี 2567 สปสช.ตรวจสอบพบ กรณีที่คิดว่าน่าจะเข้าข่ายการเบิกยาผิดปกติ และกำลังจะดำเนินคดี จำนวน 3 ราย

  • รายที่ 1 เป็นชาย มีการเบิกยาไป 118 ครั้ง จากโรงพยาบาล 31 แห่ง รวมจำนวนทั้งสิ้น 318 ขวด
  • รายที่ 2 เป็นหญิง มีการตระเวนเบิกยา 98 ครั้ง ในโรงพยาบาล 14 แห่งรวมจำนวน 147 ขวด
  • และรายที่ 3 ตระเวนเบิกยา 30 ครั้ง ในโรงพยาบาล 8 แห่งรวมจำนวน 55 ขวด

ในรายที่ 2 และรายที่ 3 พบว่ามีนามสกุลเดียวกัน คาดว่าอาจจะเป็นญาติกัน และตะเวนรับยาในกลุ่มโรงพยาบาลเดียวกัน ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) และภาคกลาง

ทั้งนี้ จำนวนที่มีการเบิกไปเป็นไปไม่ได้ที่จะนำไปใช้รักษาอาการป่วยส่วนตัว เนื่องจาก 1 ขวดใช้ได้ประมาณ 2 เดือน พ่นได้ 120 ครั้ง วันละ 2 ครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเบิกจำนวนมากขนาดนี้

 

 

เกิดเหตุหลายที่ และพฤติกรรมของคนที่ก่อเหตุ มักจะมาในช่วงบริการนอกเวลาราชการเพราะเป็นช่วง ที่บุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้มีการตรวจสอบมาก และไปหลายที่ เท่าที่ตรวจตั้งแต่แถบภาคอีสาน บางครั้งก็มาที่ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร โดยยาส่วนใหญ่ที่มีการเบิกจะเป็นกลุ่มยา ที่ใช้ในการรักษาโรคกึ่งฉุกเฉิน และเป็นยาที่มักจะมีราคาแพง และแพทย์ก็จะเห็นว่าผู้ป่วยมีประวัติการรักษาอยู่แล้วจึงจ่ายยาเหล่านั้นให้ เช่น ยาพ่น สำหรับภูมิแพ้ โรคหอบหืด
 

"สปสช.จะมีการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยในวันนี้ (20 ธ.ค.67)ได้ไปดำเนินการแจ้งความ ซึ่งจะเอาผิดในฐานฉ้อโกง ซึ่ง สปสช.ได้เคยดำเนินคดี กับผู้ที่ก่อเหตุในลักษณะเช่นเดียวกันนี้ และติดคุกไปแล้ว 3 ราย"นพ.จเด็จ กล่าว
 

เมื่อถามถึงมูลค่ายาที่ถูกตระเวนเบิกจ่ายไปคิดเป็นเท่าไร นพ.จเด็จ กล่าวว่า อันนี้ต้องคูณเข้าไปโดยราคายาบางรายการราคาเกือบ 1,000 บาท สมมติเบิกผิดปกติไป 500 ขวด ก็จำนวนมาก
 

ลุยตรวจสอบเพิ่มเติมยาอื่นๆ

นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า การตรวจสอบเจอ เหตุการณ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งทางโรงพยาบาลเป็นผู้แจ้งมา เช่น โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ส่งหนังสือมาสอบถามที่สปสช. โดยหากมองในแง่บวกก็จะทำให้ สปสช.ต้องไปตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่ง 3 รายที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และแจ้งความไปนี้ ไม่น่าจะจบแค่นี้ จะมีการย้อนตรวจสอบเพิ่มขึ้นไปอีก และอาจจะต้องดูว่ามีการเบิกยาตัวอื่นๆ ด้วยหรือไม่ และในกรณีก่อนหน้านี้ที่ดำเนินคดี และติดคุกไปแล้ว ก็กำลังไล่ตรวจด้วยเช่นกันเพราะมียาตัวอื่นที่ถูกเบิกไปเหมือนกัน
 

ดำเนินคดี ฐานฉ้อโกง
 

“ขณะนี้รู้ตัวบุคคลแล้ว อยู่ในขั้นตอนทางกฎหมายในการรวบรวม เพื่อดำเนินคดี ฐานฉ้อโกง และเป็นความผิดอาญายอมความไม่ได้ ทั้งนี้ พฤติกรรมเบื้องต้นพบตระเวนไปยังโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อเบิกยา บางครั้งไปช่วงเวลาฉุกเฉิน ซึ่งแพทย์ต้องรีบให้บริการ การตรวจดูข้อมูลอาจไม่เข้มข้นมากนัก ซึ่งตระเวนไปหลายโรงพยาบาล ไม่ใช่โรงพยาบาลเดียว และขอยาตัวเดียวเป็นหลัก” นพ.จเด็จ กล่าว
 

นพ.จเด็จ ย้ำว่า พฤติกรรมแบบนี้หากใครจะทำ อย่าทำ เพราะระบบปัจจุบันตรวจจับได้ เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจไม่ได้เข้มข้น แต่ตอนนี้จะเข้มข้นขึ้น พฤติกรรมนี้เป็นคดีอาญา และเมื่อพบเราก็จะแจ้งจับแน่นอน และการเอายาไปขาย ถือเป็นการเอาเปรียบ มีคนไข้จำเป็นต้องได้รับยาอีกจำนวนมาก

ส่งสัญญาณเตือน เบิกยาเกินจำเป็น

นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า  สปสช.จะมีมาตรการในการส่งสัญญาณเตือน เมื่อโรงพยาบาลใช้บัตรประชาชนคนไข้เสียบเข้าไป และเห็นข้อมูลว่า มีคนใดเข้ารับบริการในรอบปีที่ผ่านมา เบิกยาบางตัวเกินกว่าความจำเป็น ก็จะส่งสัญญาณขึ้นระหว่างเสียบบัตรประชาชนด้วย ซึ่งกำลังทำอยู่ คาดว่าสัปดาห์หน้าจะแล้วเสร็จ
ปัจจุบันข้อมูลยังไม่ได้ลิงก์กันทั่วประเทศ
แต่ขณะนี้ลิงก์กัน 46 จังหวัด แต่เท่าที่ตรวจสอบเคสนี้ไปยังจังหวัดที่ยังไม่เชื่อมข้อมูล และแม้จะเชื่อมข้อมูลแล้ว แต่ ณ หน้างาน บางครั้งแพทย์ก็ไม่ได้กดทุกครั้งว่า คนนี้ได้ยาเท่าไร  ซึ่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้นโยบายแล้วว่าต้องมีการซักซ้อมทำความเข้าใจกับแพทย์เรื่องนี้ แต่ทาง สปสช.จะมีสัญญาณเตือนในเชิงรุกเข้าไปด้วย ไม่ต้องรอแพทย์มากดดูข้อมูลเท่านั้น ซึ่งหลายๆ หน่วยต้องมาช่วยกัน

“แม้การเกิดกรณีแบบนี้จะไม่ได้เยอะ แต่ก็จะทำให้ระบบถูกมองว่ามีปัญหาได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีกรณีแบบนี้ ได้ฟ้องศาลฐานฉ้อโกง และติดคุกไปแล้ว มี 2 ราย ซึ่งยาก็คล้ายๆ กัน เป็นโรคที่กึ่งๆ ภาวะฉุกเฉิน ซึ่งจะมีการลิสต์ยาพวกนี้ว่าจะออกมาตรการอย่างไร สปสช.และกระทรวงสาธารณสุข ต้องมาจัดระบบร่วมกันในการป้องกันด้วย เพราะเรื่องนี้แม้ไม่ได้กระทบกองทุนหลักประกันสุขภาพ แต่ก็ไม่ควรเกิดขึ้น จึงต้องมีมาตรการใดๆ ต่อไป” นพ.จเด็จ กล่าว


ถกลดระยะเวลารับยาบางชนิด

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีมีข้อเสนอว่า จะลดเวลาการจ่ายยาแทนจาก 6 เดือนเหลือ 1 เดือน นพ.จเด็จ กล่าวว่า จากการพูดคุยกับแพทย์หลายๆ แห่ง กำลังหาจุดเวลาที่เหมาะสม บางครั้งกำหนดเวลาสั้นไป ทางแพทย์ก็อาจอึดอัด ยาวไปก็อาจมีปัญหา จะเอื้อต่อการไม่สุจริต เรื่องนี้ต้องหารือร่วมกับทางสมาคม หรือทางแพทย์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่ต้องมาพูดคุย

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์