วาระแห่งชาติ 'คนไทยมีลูก' -เตรียมเพิ่มวันลาคลอด' มากกว่า 3 เดือน

วาระแห่งชาติ 'คนไทยมีลูก' -เตรียมเพิ่มวันลาคลอด' มากกว่า 3 เดือน

คณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ เห็นชอบ (ร่าง) วาระแห่งชาติ “ส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ” ชงครม.ต้นม.ค. 67 เน้น 3 มาตรการหลัก เล็งเพิ่มวันลาคลอดมากกว่า 3 เดือน 

   เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2566 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 ว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้ผลักดันการส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพเป็น “วาระแห่งชาติ”  ซึ่งในการจัดทำร่างวาระแห่งชาติ มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศในทุกระดับตั้งแต่ระดับโลก ได้แก่ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ระดับประเทศ(แผนระดับที่ 1) ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580
          แผนระดับที่ 2 ได้แก่ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 แผนระดับที่ 3 ได้แก่ แผนพัฒนาประชากร  เพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว (พ.ศ. 2565-2580) และนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2569) ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ และได้รับฟัง ความคิดเห็นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาร่างวาระแห่งชาติ
วาระแห่งชาติ \'คนไทยมีลูก\' -เตรียมเพิ่มวันลาคลอด\' มากกว่า 3 เดือน

มุ่งเน้น 3 มาตรการ

         (ร่าง)วาระห่างชาติ เน้น 3 มาตรการหลักในการดำเนินการ ดังนี้ 

     1.ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีบุตร (Enabling Environment) โดยมีมาตรการย่อยที่สำคัญ ได้แก่ แก้ไข ปรับปรุง กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การสนับสนุนนโยบาย Family Friendly Workplace  ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดูแลและเลี้ยงบุตรสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุต่ำกว่า 2 ปี

         2. เสริมสร้างความรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติ (Persuasion) โดยให้คุณค่าทุกการเกิดมีความสำคัญ” บทบาทชาย-หญิง  และความรู้และทัศนคติต่อการสร้างครอบครัวที่มีรูปแบบหลากหลาย

       3. สนับสนุนให้ผู้ตัดสินใจมีบุตรได้รับการดูแลอย่างครบวงจรและมีคุณภาพ ได้แก่ การดูแลรักษาภาวะมีบุตรยาก  การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก รวมถึงการให้คำปรึกษาทางเลือกในผู้ที่ท้องไม่พร้อม เพื่อให้ผู้ที่ตัดสินใจตั้งครรภ์ต่อได้รับการดูแล ทั้งทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม
        ทั้งนี้ 3 มาตรการ สธ.ได้พิจารณาและทบทวนนโยบายส่งเสริมการมีบุตรอย่างเป็นระบบ และได้วิเคราะห์มาตรการที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยมากที่สุด

ชงเพิ่มวันลาคลอด

           การขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ จำเป็นจะต้องมีการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม รวมถึงภาคการเมือง เพื่อให้เกิดพลังในการขับเคลื่อน โดยเสนอให้รัฐบาลประกาศนโยบายว่า รัฐบาลสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมและเศรษฐกิจให้เอื้อต่อการมีบุตร สนับสนุนการปรับเปลี่ยนทัศนคติและความรู้ ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตรและบทบาทของชาย-หญิง ทั้งในและนอกครอบครัว

        รวมถึง ให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีความประสงค์มีบุตร และผู้ที่ประสบภาวะมีบุตรยาก ให้เข้าถึงบริการสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องได้ง่ายและเร็วขึ้น อันจะเป็นการส่งเสริมการสร้างครอบครัวที่มีการวางแผนและการเกิดอย่างมีคุณภาพ ซึ่งหลังจากการประชุมนี้จะได้เตรียมร่างวาระแห่งชาติ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อพิจารณาประกาศเป็นวาระแห่งชาติ คาดว่าจะเสนอในต้นเดือนม.ค.2567

         ทั้งนี้  ที่ประชุมเสนอด้วยว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติการส่งเสริมการมีบุตรนั้น เป็นเรื่องใหญ่มาก ประธานควรเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯที่ได้รับมอบหมาย ส่วนกรรมการควรมาจากเจ้ากระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การขับเคลื่อนได้ผล ส่วนเรื่องสวัสดิการยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน แต่มีข้อเสนอให้เพิ่มวันลาคลอดจากเดิม 3 เดือนให้มากขึ้น แต่จะเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้น ต้องให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องพิจารณาก่อน
วาระแห่งชาติ \'คนไทยมีลูก\' -เตรียมเพิ่มวันลาคลอด\' มากกว่า 3 เดือน
ผลสัมฤทธิ์ 3 ระดับ

        ด้านพญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า หาก (ร่าง) วาระแห่งชาติ ประเด็นส่งเสริมการมีบุตรอย่างมีคุณภาพ ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี  กรมอนามัยคาดว่าจะเกิดผลสัมฤทธิ์ใน 3 ระดับ คือ 1. ในระดับประเทศ : ส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ก่อให้เกิดความมั่นคงในระยะยาว ทางเศรษฐกิจ สังคม และเชื้อชาติ บรรเทาปัญหาและความท้าทายของประเทศที่เกิดจากการเป็นสังคมสูงวัย
            2. ระดับสังคม : สังคมมีความรู้ เข้าใจสถานการณ์ทางประชากร และวางแผนรับมือผลกระทบที่เกิดจากจำนวนการเกิดที่ลดลงได้ มีทัศนคติที่ดีต่อการสร้างครอบครัว ความเท่าเทียมกันระหว่างชาย-หญิงในสังคม เป็นพลังร่วมกันขับเคลื่อนส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพ

       3.ระดับประชาชน : ได้รับสิทธิด้านอนามัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนควรได้รับโดยไม่เลือกปฏิบัติ ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการผ่านมาตรการขับเคลื่อนที่ภาครัฐใช้ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการมีบุตร

 “กรมอนามัยได้มีการปรับปรุง (ร่าง) วาระแห่งชาติ ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยกำหนดเป้าหมาย พ.ศ. 2566-2570 อัตราการเจริญพันธุ์ (TFR) ของประเทศ ไม่น้อยกว่า 1.0 และ พ.ศ.2566 - 2585 TFR ของประเทศ ไม่น้อยกว่า 1.0-1.5”พญ.อัจฉรากล่าว