อัตราครองเตียงโควิด ยังไม่ต่างจากเดิม

อัตราครองเตียงโควิด ยังไม่ต่างจากเดิม

สธ.เผยโควิด-19เป็นตามคาดการณ์  รอบสัปดาห์เสียชีวิต 42 ราย แนวโน้มอัตราลดลง  ปัจจัยเสี่ยงยังเป็นสูงอายุ-มีโรคประจำตัว ไม่รับวัคซีน  อัตราครองเตียงภาพรวมประเทศอยู่ที่ราว 22 %  ยังไม่ต่างจากเดิม เพียงพอรองรับสถานการณ์ได้    

     เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2566 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามสถานการณ์โควิด-19 ว่า ประเทศไทยประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตั้งแต่ ต.ค. 2565 และองค์การอนามัยโลก(WHO)ยกเลิกโควิด-19จากภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ก็ไม่ได้แปลว่าโรคโคิวด-19 จะหมดไปจากโลกนี้ แต่ความรุนแรงลดระดับลง การแพร่ระบาดไม่ได้รุนแรงแบบทั่วโลก จึงปรับมาตรการให้สอดคล้องกัน
           จากการติดตามตัวเลขทั่วโลกพบว่า จำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงระบาดใหญ่ ส่วนประเทศไทยมีการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ มีการแจ้งเตือน และจัดเตรียมเวชภัณฑ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์  โดยคาดการณ์ว่าหลังช่วงสงกรานต์ ช่วงเปิดเทอมและเข้าสู่ฤดูฝน อาจมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

  • สูงวัยไม่ฉีดวัคซีน เสียชีวิตสูง

          ตามคาดการณ์หลังสงกรานต์จะมีผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิต 42 ราย ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่มี 60 กว่าราย ดูแนวโน้มอัตราเริ่มลดน้อยลง ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ จากการวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา พบว่า คนอายุ 60 ปีขึ้นไปเมื่อป่วยมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า และอายุ 70 ปีขึ้นโอกาสเสียชีวิตมากกว่า 4 เท่า ปัจจัยสำคัญที่เสียชีวิต เกือบทั้งหมดไม่ได้ฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของ สธ. บางคนไม่ฉีดเลยสักเข็ม จากการกลัวผลข้างเคียง

       นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า  คนที่ติดเชื้อและเสียชีวิต ส่วนใหญ่ติดเชื้อจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุซึ่งไม่ได้ออกไปไหน แต่ลูกหลานที่มีกิจกรรมนอกบ้าน เมื่อติดเชื้อทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการก็นำมาติด ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นมาตรการเร่งด่วนสำหรับผู้สูงอายุ กลุ่ม 608 ที่ยังไม่ฉีด ส่วนผู้ที่มีผู้สูงอายุในบ้าน หากตนเองมีอาการทางเดินหายใจไม่ควรเข้าไปสัมผัสใกล้ชิดผู้สูงอาย หรือใส่หน้ากากอนามัย จะช่วยลดความเสี่ยงผู้สูงอายุได้

          “วัคซีนมีประโยชน์ช่วยลดการป่วยและเสียชีวิต ขอให้ลูกหลานพาผู้สูงอายุในบ้านไปฉีดวัคซีน แต่บางครั้งพบว่าลูกหลานคือคนที่กลัวผลข้างเคียง ขอย้ำว่าให้ฉีดวัคซีนประจำปี ซึ่งรณรงค์ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะคนที่ยังไม่เคยฉีดเลยก็ไปฉีดได้”นพ.โอภาสกล่าว 

        นพ.โอภาส กล่าวด้วยว่า วัคซีนยังมีเพียงพอ สามารถประสานมาที่กรมควบคุมโรคได้ วัคซีนทุกชนิดที่ขึ้นทะเบียนสามารถใช้ได้ วัคซีนรุ่นสองใช้ฉีดเข็มกระตุ้นหรือฉีดประจำปีไม่ได้ดีกว่ารุ่นเก่าอย่างมีนัยสำคัญมากนัก อาจดีกว่าบ้าง ซึ่งองค์การอนามัยโลกก็ยังแนะนำให้ฉีดด้วยวัคซีนทุกชนิดที่มีในมือได้ วัคซีนรุ่นสองก็มีสามารถไปขอฉีดได้ ย้ำว่าวัคซีนทุกชนิดมีความปลอดภัย สามารถเลือกฉีดได้ตามต้องการ

  • พบXBB.1.16ในไทยมากขึ้น 

        สายพันธุ์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและจับตา คือ XBB.1.16 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทยความสามารถในการแพร่ระบาดไม่ได้สูงกว่าสายพันธุ์อื่นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง ความรุนแรงไม่ได้รุนแรงกว่าสายพันธุ์เดิม  แต่การติดเชื้อมีบางสถานที่ที่มีความเสี่ยง เช่น เรือนจำ เพราะมีคนอยู่แออัด และมีการเข้าออกสม่ำเสมอ แม้จะมีมาตรการกักตัว ก็ขอให้คงมาตการไว้ และจะประสานกับทางเรือนจำ กรมราชทัณฑ์ ในการฉีดวัคซีนผู้ต้องขังผู้ต้องกักในเรือนจำต่างๆ

 “แม้มีข่าวว่า รพ.บางแห่งบอกว่า  แผนกฉุกเฉินโควิดเต็ม เตียงโควิดเต็ม อาจเป็นบาง รพ.ที่เต็ม เพราะลดระดับเตียงโควิดลง แต่ภาพรวมทั้งประเทศและ กทม. เตียงที่สำรองไว้สำหรับผู้ป่วยโควิด อัตราใช้เตียงอยู่ที่ 22% ย้ำว่าเตียง บุคลากร ยามีความพร้อม”นพ.โอภาสกล่าว

  • กทม.-ปริมณฑลระบาดสูง

             นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า การระบาดในเขต กทม.และปริมณฑล มากกว่าเขตอื่นของประเทศไทย ขอให้กรมควบคุมโรคในฐานะเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ทำหนังสือประสานประธานคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม./จังหวัด ทุกจังหวัด โดยเฉพาะกรุงเทพฯและเขตปริมณฑล ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด บูรณาการใช้กลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดดำเนินการประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กทม. ซึ่งไม่มี รพ.สังกัดสำนักงานปลัด สธ. และพื้นที่กทม.มี รพ.หลากหลายสังกัด รวมทั้งเอกชน จึงเป็นหน้าที่ประธานคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม.ต้องช่วยดูแลจุดนี้
           “สธ.พร้อมสนับสนุนเวชภัณฑ์ ข้อมูลต่างๆ ที่จะประสานเกี่ยวข้องกัน รวมทั้งขอให้สำรวจว่ามีผู้สูงอายุจำนวนเท่าไหร่ ไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียวเท่าไหร่ ขอให้เร่งรัดฉีดวัคซีน โดยกรมควบคุมโรคจะประสานจัดส่งวัคซีน ให้เร่งรัดการฉีดวัคซีนประจำปี ประสานบูรณาการส่งต่อผู้ป่วย รพ.ไหนผู้ป่วยเต็ม ก็เป็นหน้าที่แต่ละจังหวัดบูรณาการส่งต่อผู้ป่วยไปยัง รพ.ที่ไม่เต็ม”นพ.โอภาสกล่าว    

  • อาการผู้ป่วยไม่ต่างจากเดิม

       นพ.โอภาส กล่าวด้วยว่า อาการผู้ป่วยไม่แตกต่าง ยังคงเหมือนเดิม โดยคนอาการหนักเสียชีวิต คืออาการปอดบวม และระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก บางคนมีโรคแทรกซ้อน คือ โควิดหายแล้ว แต่โรคแทรกซ้อนอาจถูกกระตุ้นให้รุนแรงขึ้น ที่พบบ่อยคือ โรคไตวายเรื้อรัง ขอให้ใส่ใจระมัดระวังกลุ่มเหล่านี้ด้วย
        “ระยะหลังมีทั้งติดครั้งแรกและติดซ้ำ ข้อสังเกต คือ คนยังไม่เคยติดเชื้อถือเป็นกลุ่มเสี่ยงอีกกลุ่มหนึ่ง พบคนไม่เคยติดเชื้อก็ติดเชื้อครั้งแรกจำนวนมาก ส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนจึงไม่ค่อยมีอาการ จากการสำรวจที่ผ่านมาคนไทย 97% มีภูมิคุ้มกันต่อโรคโควิดแล้ว ทั้งจากการติดเชื้อธรรมชาติหรือการฉีดวัคซีน คนติดครั้งที่สองพบเพิ่มขึ้น แต่อาการน้อยถึงไม่มีอาการ บางครั้งติดเชื้อครั้งที่สามแต่ก็ยังน้อยอยู่”นพ.โอภาสกล่าว   

  • เตียงยังรองรับได้

     นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ภาพรวมอัตราครองเตียง อยู่ที่ 21.92 % การบริการจัดการเตียงในรพ.สามารถบริหารจัดการได้ จำนวนเตียงระดับ 3 และ2.2 มีเพียงพอรองรับสถานการณ์ได้  กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางและรุนแรงและใส่ท่อช่วยหายใจ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่ากลุ่มอายุอื่น และสถานการณ์ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในรพ.ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขต กรุงเทพฯและปริมณฑล อัตราครองเตียงเฉลี่ย 21.2%
       ข้อมูล ณ  28 พ.ค.2566 จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาในรพ. 2,524 ราย  แยกเป็นอายุต่ำกว่า  15 ปี  204 ราย อายุ 15-59 ปี  624 ราย อายุ 60 ปีขึ้นไป 1,616 ราย จำแนกอายุไม่ได้ 80 ราย  สถานการณ์การใช้เตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19ของประเทศ ภาพรวมอยู่ที่ 21.92 % แยกเป็นผู้ป่วยไม่มีอาการ 231 ราย อัตราครองเตียง 9.5 %  ผู้ป่วยมีอาการเล็กน้อย 674 ราย อัตราครองเตียง 27.6 % ผู้ป่วยมีอาการปานกลาง 1,122 ราย อัตราครองเตียง 45.91 % ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง 417 ราย อัตราครองเตียง 17.1% และผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 293 ราย อัตราครองเตียง 12 %

        สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภาพรวมช่วงเดือนพ.ค.2566 อัตราครองเตียงอยู่ที่ 21.2 % ต่ำกว่าเดือนเม.ย.ที่มีอัตราครองเตียงอยู่ที่ 23.5 % และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดือนม.ค. ที่อยู่ที่ 21.2 % และก.พ.อยู่ที่ 21.9 % ส่วนเดือนมี.ค.อยู่ที่ 6.8 %

           อัตราครองเตียงสถานพยาบาลของรัฐทุกสังกัด ณ 28 พ.ค.2566  เตียงทั้งหมด 915 เตียง ครองเตียง 252 ราย อัตราครองเตียงภาพรวมอยู่ที่ 27.5 %  ทั้งนี้  เตียงรองรับผู้ป่วยระดับ 3 อัตราครองเตียง 30.6 % แต่สถานพยาบาลสังกัดกทม.เต็ม 100 %  โดยมีเตียงทั้งหมด  8 เตียง  อัตราครองเตียงระดับ2.2 อยู่ที่ 12.2 %  อัตราครองเตียงระดับ 2.1 อยู่ที่ 30.9% และอัตราครองเตียงระดับ 1 อยู่ที่ 36.8 %
       ส่วนภาคเอกชนมีทั้งหมด 664 เตียง ครองเตียง 82 เตียง อัตราครองเตียง  12.3 % เตียงระดับ 3 อัตราครองเตียงอยู่ที่ 11 % อัตราครองเตียงระดับ 2.2 อยู่ที่ 0% อัตราครองเตียงระดับ 2.1 อยู่ที่ 4.6 % อัตราครองเตียงระดับ 1 อยู่ที่ 16.8%