ผู้ประกันตน 4 ล้านคน จ่ายเงินสมทบเพิ่ม บำนาญชราภาพเปลี่ยน

ผู้ประกันตน 4 ล้านคน จ่ายเงินสมทบเพิ่ม บำนาญชราภาพเปลี่ยน

สปส.แจงปรับเพดานค่าจ้างสูงสุด เริ่ม 1 ม.ค.69  ผู้ประกันตน 4 ล้านคนเข้าเกณฑ์จ่ายเงินสมทบเพิ่ม ย้ำมาพร้อมเพิ่มสิทธิประโยชน์-เสถียรภาพกองทุน คาดเงินกองทุนเพิ่ม 21,000 ล้าน/ปี ระบุส่งผลเชิงบวกต่อคำนวณบำนาญใหม่สูตร CARE

KEY

POINTS

  • สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมปรับขึ้นเพดานค่าจ้างสูงสุดสำหรับคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตน ม.33 โดยจะปรับแบบขั้นบันได ระยะที่ 1 เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2569
  • ผู้ประกันตนมาตรา 33 ประมาณ 4 ล้านคนที่มีเงินเดือนเกินเพดานค่าจ้างสูงสุด 17,500 บาท จะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นจาก 750 บาทเป็น 875 บาทต่อเดือน ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น ส่งผลเชิงบวกต่อคำนวณบำนาญใหม่สูตรCARE
  • การปรับเพดานค่าจ้างสูงสูด คาดเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเพิ่มในปี 2569 ราว 21,000 ล้านบาท จากฝ่ายรัฐ 4,500 ล้านบาท นายจ้าง 8,000 ล้านบาท ลูกจ้าง 8,000 ล้านบาท 

สำนักงานประกันสังคม(สปส.)เตรียมปรับเพดานค่าจ้างขั้นสูงของผู้ประกันตน มาตรา 33 หลังผ่านความเห็นชอบจาก ครม. โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2569 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปีที่ปรับเพดานจาก 15,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และเพิ่มผลประโยชน์ระยะยาวแก่ผู้ประกันตน

มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.69

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2568 ที่ สำนักงานประกันสังคม น.ส.กาญจนา พูลแก้ว เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) แถลงข่าวเรื่องการปรับเพดานค่าจ้าง ว่า การปรับเพดานค่าจ้างสูงสุดในครั้งนี้ เป็นการปรับเพดานค่าจ้างสูงสุดจาก 15,000 บาท ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบมาตั้งแต่ปี 2538 ใช้มาเป็นระยะเวลานาน เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมมีการปรับเปลี่ยน รวมถึงประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น การปรับเพดานค่าจ้างสูงสุดจะช่วยให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสม และการดำเนินการผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน ทั้งนายจ้าง ผู้ประกันตน และผู้ที่เกี่ยวข้อง

การดำเนินการปรับเพดานค่าจ้างจะทำแบบทยอยปรับ กำหนดเป็น 3 ช่วงระยะเวลา

  • ระยะที่ 1 ปี 2569 - 2571 จะปรับขึ้นเป็น 17,500 บาท  จ่ายเงินสมทบสูงสุด 875 บาทต่อเดือน
  • ระยะที่ 2  ปี  2572-2574 จะปรับเป็น 20,000 บาท จ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,000 บาทต่อเดือน
  • ระยะที่ 3 ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป จะใช้เพดานที่ 23,000 บาทจ่ายเงินสมทบสูงสุด 1,150 บาทต่อเดือน

ซึ่งการปรับในระยะที่ 1 นี้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) อยู่ระหว่างส่งให้รมว.กระทรวงแรงงานลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก่อนมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569  

สิทธิประโยชน์เพิ่ม-เสถียรภาพกองทุนเพิ่ม

         การปรับเพดานค่าจ้างสูงสุดนี้ ไม่ได้ปรับอัตราเงินสมทบ ยังคงจ่ายที่ 5 % ของเงินเดือนเหมือนเดิม ดังนั้น กรณีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่เงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาทอยู่เดิม จะยังจ่ายเงินสมทบเหมือนเดิม ส่วนผู้ที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 17,500 บาทขึ้นไป จะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นตามเพดานค่าจ้างใหม่เป็น 875 บาทต่อเดือน  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเริ่มใช้เพดานค่าจ้างสูงสุด 17,500 บาท ผู้ที่มีเงินเดือน 30,000 บาท จะจ่ายเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 5% ของ 17,500 บาท คือ 875 บาทต่อเดือน (จากเดิมจ่าย 750 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตรา 5 % ของเพดานค่าจ้างสูงสุดเดิมที่ 15,000 บาท) โดยจะต้องจ่ายทั้งฝ่ายผู้ประกันตนและฝ่ายนายจ้าง

          น.ส.กาญจนา ย้ำว่า  เมื่อเพดานค่าจ้างเพิ่มขึ้น สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับก็จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  โดยระยะที่ 1  จะทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น ได้แก่ 

  • เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย เดิมสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น  8,750 บาทต่อเดือน
  • เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ เดิมสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
  •  เงินทดแทนกรณีว่างงาน เดิมสูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
  • เงินทดแทนกรณีคลอดบุตร เดิมสูงสุด  22,500 บาทต่อครั้ง เพิ่มเป็น 26,250 บาทต่อครั้ง
  • เงินทดแทนกรณีเสียชีวิต เดิมสูงสุด  90,000 บาท เพิ่มเป็น 105,000 บาท
  • เงินบำนาญในกรณีส่งเงินสมทบครบ 15 ปี เดิมสูงสุด  3,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น  3,500 บาทต่อเดือน
  • เงินบำนาญในกรณีส่งเงินสมทบครบ 25 ปี เดิมสูงสุด  5,250 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น  6,125 บาทต่อเดือน

“เมื่อมีการจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนก็เพิ่มขึ้นด้วย และเสถียรภาพกองทุนประกันสังคมก็จะเพิ่มขึ้นด้วย”น.ส.กาญจนากล่าว 

กองทุนเงินเพิ่มราว 21,000 ล้าน

นายณ ภูมิ  สุวรรณภูมิ นักคณิตศาสตร์ประกันภัย กองวิจัยและพัฒนา สปส. กล่าวเพิ่มเติมว่า  ภาพรวมจะมีผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จะต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นเมื่อมีการปรับเพดานค่าจ้างสูงสุดประมาณ 30 % ของผู้ประกันตนในระบบ หรือประมาณ  4 ล้านคน  ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ของกองทุนประกันสังคม โดยคาดการณ์ว่าการปรับเพดานค่าจ้างสูงสุดระยะที่ 1 จะทำให้มีรายได้จัดเก็บในปี 2569 ประมาณ 258,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 21,000 ล้านบาทต่อปี โดยมาจากเงินสมทบของรัฐบาลเพิ่มขึ้นประมาณ 4,500 ล้านบาท ฝ่ายนายจ้าง 8,000 ล้านบาท และฝ่ายลูกจ้าง  8,000 ล้านบาท 

 ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีสิทธิประโยชนที่เพิ่มขึ้นจะได้ทันทีตั้งแต่ 1 ม.ค.2569เลยหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า สิทธิประโยชน์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น จะเกิดสิทธิได้รับเต็มที่ เมื่อจ่ายเงินสมทบในอัตราใหม่ครบ 3 เดือนนับแต่เพดานใหม่มีผลบังคับใช้  ซึ่งจะตรงกับเดือนเม.ย.2569

ส่วนการคำนวณบำนาญชราภาพที่คิดจากเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายนั้น กรณีที่เงินเดือนเกิน 17,500 บาท ก็จะนำเงินเดือน 15,000 บาทและ 17,500 บาทมาคิดร่วมกัน อย่างเช่น  เกิดสิทธิบำนาญในเดือน พ.ค. 2569 ก็จะคิดเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายจากเงินเดือน 15,000 บาทจำนวน 55 เดือน และเงินเดือน 17,500 บาทจำนวน 5 เดือน เป็นต้น

เพดานค่าจ้างใหม่ ส่งผลดีต่อสูตรบำนาญCARE

ถามว่าหากการคำนวณบำนาญชราเปลี่ยนไปใช้สูตรแบบใหม่ คือ สูตรCAREแล้ว การปรับเพดานค่าจ้างนี้จะส่งผลต่อการคำนวณบำนาญใหม่อย่างไร  นางนิยดา เสนีย์มโนมัย รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม และโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า  สูตรคำนวณบำนาญแบบใหม่ หรือ "สูตรแคร์" (CARE) ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมร่างกฎกระทรวง หลังผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำเสนอเข้าสู่กระทรวงเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย ก่อนจะเสนอครม. เพื่อพิจารณาต่อไป

นางนิยดา กล่าวอีกว่า เมื่อสูตรแคร์มีผลบังคับใช้  การปรับเพดานค่าจ้างนี้จะเชื่อมโยงกัน เพราะเมื่อมีการปรับเพิ่มเพดานค่าจ้าง ก็จะทำให้ค่าจ้างเฉลี่ยของผู้ประกันตนทั้งประเทศที่จะนำมาใช้ในการคำนวณสูตรแคร์สูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากสูตรแคร์จะใช้ค่าจ้างเฉลี่ยของผู้ประกันตนทั้งประเทศเป็นฐานในการคำนวณ “แต้ม (Pension Point)” แทนการใช้ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายของแต่ละคน หากค่าจ้างเฉลี่ยของประเทศสูงขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าของ”แต้ม”ที่นำมาคำนวณบำนาญสูงขึ้นด้วย จะเป็นประโยชน์กับผู้ประกันตนรวมถึงผู้ที่เงินเดือนไม่ถึง 17,500 บาท

 นอกจากนี้ สูตรแคร์ยังคำนวณระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบที่เกิน 180 เดือน(15ปี) โดยจะนำมาคิดคำนวณทุกเดือน (0.125% ต่อเดือน) ต่างจากสูตรเดิมที่คิดให้เพิ่ม 1.5% ต่อทุก 12 เดือน ดังนั้น  ผู้ที่เงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท ก็จะได้รับประโยชน์จากสูตรแคร์ด้วย เนื่องจากค่าจ้างเฉลี่ยโดยรวมทั้งประเทศที่สูงขึ้น