คลื่นการเลิกจ้าง สู่ตลาดแรงงานแบบดรัมเบล

คลื่นการเลิกจ้าง สู่ตลาดแรงงานแบบดรัมเบล

ข่าวการเลิกจ้างครั้งใหญ่จากบริษัททั่วโลกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในสหรัฐ ยุโรและเอเชีย เมื่อมองลึกลงไป ปรากฏการณ์นี้คงไม่ใช่อาการชั่วคราวของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวเพียงอย่างเดียว

แต่เป็นสัญญาณของการปรับโครงสร้างของระบบแรงงานโลก ซึ่งกำลังเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายภูมิภาคและหลายอุตสาหกรรม

ข้อมูลจาก Layoffs.fyi ระบุว่าในปีนี้เพียงปีเดียว บริษัทเทคโนโลยีกว่า 218 แห่งปลดพนักงานรวม 112,732 คน หลังจากยอดสูงสุดที่กว่า 260,000 คนในปี 2566 และ 165,000 คนในปี 2565 ตัวเลขที่ต่อเนื่องตลอดสามปีนี้สะท้อนว่า

การปลดคนไม่ได้เป็นเหตุการณ์เฉพาะจุด แต่คือ แนวโน้มเชิงโครงสร้าง (structural trend) ที่ต่อเนื่อง ซึ่งขยายจากบริษัท Big Tech ไปสู่อุตสาหกรรมดั้งเดิม ตั้งแต่ UPS ที่ลดคนกว่า 48,000 ตำแหน่งเพื่อยกระดับผลิตภาพโลจิสติกส์ ไปจนถึง Ford Nestlé และ Novo Nordisk ที่ประกาศแผนลดคนหลายพันตำแหน่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง

สหรัฐอเมริกาในฐานะหัวใจของเศรษฐกิจโลก กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดในรอบหลายปี การเลิกจ้างพนักงานในภาคธุรกิจขนาดใหญ่เกิดขึ้นเกือบทุกสัปดาห์ ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางนโยบายเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือ แรงกดดันด้านต้นทุนจากนโยบายภาษีนำเข้าชุดใหม่ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค 

ขณะเดียวกันบริษัทต่างๆ ต้องโยกงบประมาณมหาศาลจากค่าจ้างแรงงานไปสู่การลงทุนในเทคโนโลยี โดยเฉพาะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งแม้ไม่แย่งงานโดยตรง แต่ต้นทุนการพัฒนาและโครงสร้างพื้นฐานด้านเอไอสูงมาก จนบริษัทจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายบุคลากรลงเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ตัวอย่างเช่น Amazon ปรับลดพนักงานองค์กรกว่า 14,000 คน เพื่อทุ่มงบไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเอไอ Microsoft ปลดกว่า 15,000 คน ควบคู่กับการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการเอไอระดับโลก Lufthansa Group ประกาศแผนลดคน 4,000 ตำแหน่งภายในปี 2573 เพื่อปรับองค์กรสู่ระบบดิจิทัล

ขณะที่ UPS ปิดศูนย์ปฏิบัติการกว่า 90 แห่งเพื่อลดต้นทุนเครือข่าย โลจิสติกส์โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่คนถูกแทนด้วย โค้ดและอัลกอริทึมอย่างเป็นระบบ

รายงานจาก ADP ชี้ว่าเพียงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ภาคเอกชนสหรัฐสูญเสียตำแหน่งงานกว่า 32,000 ตำแหน่ง ขณะที่รัฐบาลกลางเองก็ลดจำนวนพนักงานลงหลายพันตำแหน่ง จากการปิดหน่วยงานรัฐ (Government Shutdown) ที่ยืดเยื้อ วิกฤติแรงงานครั้งนี้จึงสะท้อนการปรับสมดุลครั้งใหญ่ระหว่างทุนมนุษย์กับทุนเทคโนโลยี

และก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ภาวะถดถอยทางจิตใจ แรงงานจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นคงทางอาชีพ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคจะยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการ

สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนกลับตอบรับเชิงบวกต่อข่าวเลิกจ้าง เช่น ราคาหุ้น UPS และ Amazon ปรับขึ้นทันทีหลังประกาศลดคน แสดงถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในตลาดทุน จากการให้รางวัลแก่การเติบโตทุกวิถีทาง ไปสู่การยกย่องบริษัทที่กล้าปรับโครงสร้างเพื่อลงทุนระยะยาว การเลิกจ้างกลายเป็นสัญญาณเชิงกลยุทธ์ที่น่าเชื่อถือมากกว่าความล้มเหลวทางธุรกิจ

ตลาดแรงงานทั่วโลกกำลังแปรสภาพสู่โครงสร้างแบบดรัมเบล (Barbell labor market) ซึ่งมีดีมานด์สูงสุดที่ปลายสองขั้ว ขั้วหนึ่งคือ แรงงานทักษะสูงที่มีความคิดวิเคราะห์ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ อีกขั้วคือ แรงงานบริการและช่างฝีมือที่ต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ซึ่งเอไอยังทดแทนไม่ได้ ส่วนตำแหน่งงานทักษะปานกลาง โดยเฉพาะงานสำนักงานและธุรการ กลับถูกกัดเซาะอย่างต่อเนื่อง

สำหรับประเทศไทย แม้อัตราว่างงานเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ภายในกลับมีสัญญาณน่ากังวล โดยเฉพาะอัตราว่างงานของบัณฑิตระดับอุดมศึกษาที่สูงสุดในทุกกลุ่ม สะท้อนภาวะที่ทักษะไม่ตรงกับความต้องการตลาด (skills mismatch) นายจ้างจำนวนมากหลีกเลี่ยงการจ้างบัณฑิตจบใหม่เพราะขาดทักษะปฏิบัติ และกว่า 80% ของตำแหน่งงานระดับปริญญาตรีต้องการประสบการณ์อย่างน้อยหนึ่งปี

ขณะเดียวกันตลาดแรงงานไทยกำลังเคลื่อนไปสู่ความยืดหยุ่นสูงขึ้น รายงานจาก JobsDB ระบุว่าการจ้างงานพาร์ตไทม์และสัญญาจ้างเพิ่มจาก 20% เป็นกว่า 40% ภายในไม่กี่ปี แนวโน้มนี้สอดคล้องกับเศรษฐกิจแบบงานอิสระ (gig economy) ที่เติบโตทั่วโลก ซึ่งแม้เพิ่มความคล่องตัวแก่ธุรกิจ แต่ก็ขยายความไม่มั่นคงทางอาชีพ

ในบริบทของโลกที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการเรียนรู้ใหม่และปรับตัวต่อเทคโนโลยี กลายเป็นทุนมนุษย์สำคัญที่สุด รายงานจาก World Economic Forum ระบุว่า ทักษะที่นายจ้างให้ค่าน้ำหนักสูงสุดในอนาคตคือ ความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ซึ่งเป็น meta-skills ที่ช่วยให้แรงงานอยู่รอดในยุคที่อาชีพเปลี่ยนทุกไม่กี่ปี ระบบการศึกษาที่เน้นความรู้ตายตัวหรือใบปริญญาจะไม่เพียงพออีกต่อไป

คลื่นการเลิกจ้างทั่วโลกในวันนี้ชัดเจนว่าเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนยุคที่ทุนกำลังไหลสู่เทคโนโลยี โลกของงานในทศวรรษหน้าอาจไม่มีคำว่าความมั่นคงในความหมายเดิมอีก ความมั่นคงในโลกใหม่จะไม่ได้วัดจากตำแหน่งงานหรือรายได้ประจำ แต่จะวัดจากความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวของแต่ละคนต่อคลื่นเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ผู้ที่เข้าใจพลวัตนี้ ย่อมเป็นผู้กำหนดทิศทางของงานและปรับตัวไปพร้อมกับอนาคตได้

 

คลื่นการเลิกจ้าง สู่ตลาดแรงงานแบบดรัมเบล