ต้นทุนจมในยุคเปลี่ยนอาชีพ | คิดอนาคต

ทุกวันนี้ ข่าวการปลดพนักงานเกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนบางแห่งเริ่มปรับนโยบายให้เกษียณตั้งแต่อายุ 45 ปี สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับคนทำงานที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงหลายด้านพร้อมกัน
ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ สงครามการค้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือพลวัตทางสังคม ทั้งหมดเร่งให้เกิดยุคเปลี่ยนอาชีพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงอีกต่อไป
งานจำนวนมากกำลังถูกแทนที่หรือปรับรูปแบบอย่างรวดเร็ว ขณะที่งานใหม่ต้องการทักษะใหม่ๆ เช่น ดิจิทัล ความสามารถเชิงวิเคราะห์ และความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน รายงานของ World Economic Forum คาดว่า ภายในปี 2570 งานทั่วโลกกว่า 83 ล้านตำแหน่งจะหายไป และจะเกิดงานใหม่ราว 69 ล้านตำแหน่ง
โดยเฉพาะในเทคโนโลยีดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว การเปลี่ยนผ่านของแรงงานจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือ แรงต้านภายในของคนทำงานเอง โดยเฉพาะปรากฏการณ์ กับดักต้นทุนจม (Sunk Cost Trap) ที่ทำให้หลายคนยึดติดกับเส้นทางเดิม แม้จะเห็นชัดว่าไม่สอดคล้องกับอนาคต
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาและอัตลักษณ์ที่ผูกพันกับการลงทุนในอดีตของแต่ละคนด้วย
ในทางเศรษฐศาสตร์ “ต้นทุนจม” คือ ค่าใช้จ่ายหรือการลงทุนที่เกิดขึ้นแล้วและไม่สามารถเรียกคืนได้ จึงไม่ควรนำมาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจอนาคต เพราะไม่เกี่ยวข้องกับผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้น
แต่การศึกษาทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมชี้ว่า มนุษย์มักให้ความสำคัญกับต้นทุนจมเกินไป ทั้งในระดับบุคคลและองค์กร โดยเฉพาะเมื่อต้นทุนเหล่านั้นผูกพันกับเวลา ความพยายามและอัตลักษณ์
เช่น การทำงานสายเดิมมานาน หรือการลงทุนในทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับอาชีพเดิม ความรู้สึกว่าลงทุนไปแล้วต้องเดินหน้าต่อไปกลายเป็นแรงต้านสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง แม้เส้นทางเดิมจะไม่ตอบโจทย์อนาคตก็ตาม
สำหรับไทย มีแรงงานอย่างน้อย 7.1 ล้านคนที่เสี่ยงสูงถูกเทคโนโลยีแทนที่ โดยเฉพาะในภาคการผลิต งานธุรการและบริการซ้ำรูปแบบ และการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม ขณะที่แม้แรงงานกว่า 80% ใช้สมาร์ตโฟนเป็นประจำ แต่มีเพียง 23% ที่มีทักษะดิจิทัลระดับใช้งานจริง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลหรือการใช้เอไอเพื่อสร้างมูลค่า
ในอีกด้านหนึ่ง การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยเฉพาะที่กำลังขับเคลื่อนด้วยมาตรการต่างๆ เช่น CBAM และเป้าหมาย Net Zero กำลังสร้างงานใหม่จำนวนมาก รายงานของ IEA คาดว่า ภายในปี 2573 จะมีงานสีเขียวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านตำแหน่งทั่วโลก
และในไทยจะเกิดงานสีเขียวกว่า 1 ล้านตำแหน่งใน 20 ปีข้างหน้า ทั้งในภาคพลังงานสะอาด การก่อสร้างยั่งยืน และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
คนทำงานจำนวนมากจึงยืนอยู่บนทางแยกว่าจะลงทุนเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล-เอไอ-สีเขียว หรืออยู่ในระบบเดิมที่มูลค่ากำลังลดลง ทว่ากับดักต้นทุนจมทำให้หลายคนรู้สึกว่าการเปลี่ยนเส้นทางคือ การละทิ้งอดีตที่เคยทุ่มเทมาแล้ว
แรงต้านจากกับดักต้นทุนจมเกิดจากกลไกทางจิตวิทยาที่ฝังอยู่ในการตัดสินใจ เช่น อคติสถานะเดิมที่ทำให้ยึดติดกับสิ่งคุ้นเคย การผูกอัตลักษณ์กับอาชีพเดิมจนมองว่าการเปลี่ยนสายงานคือการสูญเสียตัวตน และความไม่ชอบ ความไม่แน่นอน ทำให้ลังเลที่จะเริ่มต้นใหม่ กลไกเหล่านี้ทำให้หลายคนยึดติดกับเส้นทางเดิม แม้รู้ว่าไม่ตอบโจทย์อนาคต
การก้าวข้ามกับดักนี้ต้องปรับทั้งกรอบคิดและวิธีเปลี่ยนผ่าน โดยมองอดีตเป็นทุนต่อยอด ไม่ใช่ภาระ แยกอารมณ์ออกจากการตัดสินใจ ใช้การทดลองขนาดเล็กเพื่อลดความเสี่ยง แล้วค่อยๆ สร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่เชื่อมโยงกับตัวตนเดิม และพึ่งพาเครือข่ายสนับสนุนเพื่อเสริมพลังและลดความโดดเดี่ยวในการเปลี่ยนแปลง
ในเชิงนโยบาย ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้แรงงานปรับตัวได้ดีขึ้น ไม่ใช่ทิ้งเป็นโจทย์เชิงปัจเจกเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างที่ดีที่ชัดเจนคือ ประเทศกลุ่มนอร์ดิก โดยเฉพาะเดนมาร์ก ที่ใช้กรอบนโยบาย Flexicurity คือ ผสมผสานความยืดหยุ่นของตลาดแรงงานกับระบบคุ้มครองทางสังคมอย่างสมดุล
ภาคเอกชนสามารถจ้างและเลิกจ้างได้ง่าย ลดแรงต้านเชิงโครงสร้าง ขณะที่ภาครัฐรับประกันสิทธิด้านสวัสดิการและการเข้าถึงการฝึกทักษะใหม่อย่างทั่วถึง ทำให้กล้าเปลี่ยนอาชีพโดยไม่รู้สึกว่ากำลังเสี่ยงชีวิตกับการเริ่มต้นใหม่
หัวใจของระบบนี้ คือ การรับประกันว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังเมื่อเปลี่ยนสายอาชีพ แรงงานมั่นใจได้ว่าจะได้รับการคุ้มครองจากระบบประกันสังคม มีหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น การแนะแนวอาชีพ และบริการจัดหางานที่มีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน นโยบายและแรงจูงใจก็เอื้อต่อการเปลี่ยนงานอย่างเป็นปกติ ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย จึงช่วยลดการยึดติดกับต้นทุนจมและเปิดทางให้แรงงานเรียนรู้ทักษะใหม่ได้อย่างมั่นใจ
กับดักต้นทุนจมเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปรับตัวในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็ว การแก้ปัญหานี้เป็นทั้งเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ จิตวิทยาและอัตลักษณ์ของคนทำงาน ควบคู่กับการออกแบบระบบสนับสนุนที่เอื้อต่อการเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไป
สำหรับไทย การบูรณาการแนวคิดนี้เข้าสู่นโยบายพัฒนาทักษะ การแนะแนวอาชีพ และระบบช่วยเปลี่ยนอาชีพ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของสังคมท่ามกลางคลื่นเทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนที่ไม่อาจย้อนกลับได้







