'ผู้ประกันตนมาตรา 33' ได้หรือเสีย 'บำนาญประกันสังคม' สูตรใหม่

บำนาญชราภาพประกันสังคมแบบใหม่ สูตร Care เคลียร์ให้ชัด ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้เงินเพิ่มหรือลด เผยใช้เวลาคืนเงินสมทบใน 5-6 ปี
KEY
POINTS
- สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมปรับปรุงสูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพใหม่ (สูตร Care) เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมของสูตรเดิม
- ผู้ที่รับบำนาญอยู่แล้วในปัจจุบันจะไม่ได้รับเงินลดลง มีแต่จะเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่เริ่มรับสิทธิในช่วง 5 ปีแรกของการใช้สูตรใหม่ จะมีมาตรการชดเชยส่วนต่างให้
- ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จะเริ่มรับบำนาญหลังช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีไปแล้ว จะคำนวณด้วยสูตรใหม่เท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ได้รับเงินบำนาญ "เพิ่มขึ้น" หรือ "ลดลง" เมื่อเทียบกับสูตรเก่า และจะไม่มีการชดเชยส่วนต่าง
สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เดินหน้าปรับปรุง สูตรการคำนวณเงินบำนาญชราภาพใหม่ เป็น สูตร Care เชื่อว่าจะช่วยคืนความเป็นธรรม ซึ่งข้อมูลผลที่มีต่อผู้รับบำนาญอยู่แล้วในปัจจุบัน 68 % ได้มากขึ้น เฉลี่ย 291 บาทต่อเดือน และ32 % ได้บำนาญเท่าเดิม แต่ก็มีกลุ่มที่ได้ลดลง หลังพบว่าสูตรเดิมที่ใช้มานานกว่า 20 ปี จ่ายอยู่ราว 20,000 ล้านบาทต่อปีนั้น สร้างความไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกันตนกว่า 570,000 คน จากผู้รับบำนาญ ณ ปัจจุบัน 800,000 คน
การคำนวณสูตรใหม่ บำนาญใหม่(สูตร Care) = อัตราบำนาญ(อัตราเริ่มต้น 20 % และส่วนเพิ่ม1.5 %ต่อปีและ0.125%ต่อเดือนที่ไม่ครบปี) Xฐานค่าจ้าง (แต้มบำนาญเฉลี่ยส่วนตัวXค่าจ้างเฉลี่ย60เดือนของระบบ ณ วันที่เกิดสิทธิรับบำนาญ)
ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 1-17 ตุลาคม 2568 เป็นช่วงเวลาที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนและประชาชนทั่วไป ร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านระบบกลางทางกฎหมาย ได้ที่ www.law.go.th หรือผ่านแอปพลิเคชัน Line ของสปส.
อย่างไรก็ตาม เกิดคำถามขึ้นในวงกว้างเช่นกันว่า ส่วนของบำนาญผู้ประกันตนมาตรา 33 จะ เพิ่มขึ้น ลดลง หรือเท่าเดิมเมื่อเทียบกับคำนวณสูตรเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกิดสิทธิรับบำนาญหลังสูตรใหม่บังคับใช้แล้วในปีที่ 6 เป็นต้นไป ซึ่งจะไม่มีการชดเชยส่วนต่าง
5 ตัวอย่างรับบำนาญ หลังใช้สูตรใหม่
มีการยกตัวอย่างเงินบำนาญที่ผู้ประกันตนจะได้รับ หลังปรับเป็นสูตร Care โดยภาพรวมอาจแบ่งเป็น 5 กลุ่ม หลัก (ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของแต่ละบุคคลด้วย) คือ
1.ผู้รับบำนาญอยู่ และได้ปรับเพิ่ม โดยเป็นกลุ่มที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 แล้วเปลี่ยนมาส่งมาตรา 39 จะได้รับเงินเพิ่มขึ้น
2.ผู้รับบำนาญอยู่ และได้เท่าเดิม เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33มาตลอด เมื่อคำนวณสูตร Care เปรียบเทียบพบว่าได้รับเงินบำนาญลดลงจากที่ได้รับอยู่เดิม ก็จะยังได้รับในอัตราเดิมที่ได้มากกว่าต่อไป
3.ผู้เกิดสิทธิใหม่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน (5 ปีแรกของการใช้สูตรใหม่) และสูตร Careจ่ายสูงขึ้น เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 โดยตลอด มีการคำนวณทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ พบว่าสูตรใหม่ได้มากกว่า ก็จะได้รับเงินตามสูตรใหม่
4.ผู้เกิดสิทธิใหม่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และได้รับการชดเชย เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่เมื่อคำนวณสูตรเก่า และสูตรใหม่แล้ว พบว่า สูตรเก่าได้มากกว่า หากเป็นผู้เกิดสิทธิรับบำนาญใหม่ในปีแรกที่ใช้สูตรใหม่ จะได้รับการชดเชยส่วนต่าง 100 % ,เกิดสิทธิปีที่ 2 หลังสูตรใหม่ ชดเชยส่วนต่าง 80 % ,เกิดสิทธิปีที่ 3 ชดเชยส่วนต่าง 60 % ,เกิดสิทธิปีที่ 4 ชดเชยส่วนต่าง 40 % และเกิดสิทธิปีที่ 5 ชดเชยส่วนต่าง 20 %
5.ผู้เกิดสิทธิหลังช่วงเปลี่ยนผ่าน เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับบำนาญจากการคำนวณตามสูตร Care เพียงวิธีเดียว
จะเห็นได้ว่า “กลุ่มผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่เกิดสิทธิในปีที่ 2-5ช่วงเปลี่ยนผ่านจะได้เงินลดลงเล็กน้อยเพราะมีการชดเชยส่วนต่างไม่เต็ม 100 %
ส่วนเกิดสิทธิหลังช่วงเปลี่ยนผ่าน”มีความเป็นไปได้ทั้งอาจจะได้บำนาญ “เพิ่มขึ้น” หรือ “ลดลง” เมื่อคำนวณเปรียบเทียบระหว่างสูตรเก่า และสูตรใหม่
ผู้รับบำนาญเดิมเงินไม่ลด-ชดเชยตลอดชีวิต
นายณภูมิ สุวรรณภูมิ กองวิจัยและพัฒนา สปส. อธิบายว่า ผู้รับบำนาญที่รับอยู่ปัจจุบัน มีจำนวนประมาณ 8 แสนคน ไม่ต้องกังวล เนื่องจากจะไม่มีใครที่ได้รับเงินลดลงอย่างแน่นอน แต่จะมีบางคนได้รับเพิ่มขึ้น โดยหากสูตรใหม่ได้ลดลงก็ให้ได้ตามสูตรเก่าที่ได้มากกว่า แต่หากคำนวณตามสูตรใหม่แล้วได้มากขึ้น ก็จะปรับให้ได้ตามที่ได้มากขึ้น
กลุ่มเกิดสิทธิช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีก็จะมีการชดเชยส่วนต่าง ตั้งแต่ 20-100 % และได้อัตรานี้ไปตลอดชีวิต เช่น หากคำนวณสูตรใหม่ ได้เงินลดลงจากสูตรเก่า 1,000 บาท เกิดสิทธิปีที่ 1 จะได้รับเงินบำนาญตามสูตรใหม่บวกกับเงินชดเชย 1,000 บาท ปีที่ 2 เงินชดเชย 800 บาท เป็นต้น
ส่วนกลุ่มที่จะเกิดสิทธิหลังช่วงเปลี่ยนผ่านไปแล้วซึ่งจะไม่ได้รับชดเชยส่วนต่างนั้น ยังระบุไม่ได้ว่าเมื่อถึงช่วงเวลาที่รับบำนาญจะได้เงินลดลงหรือเพิ่มขึ้น แต่เป็นการลดลงหรือเพิ่มขึ้นเชิงเปรียบเทียบจากการคำนวณแบบสูตรเก่ากับสูตรใหม่เท่านั้น ไม่ได้แปลว่าประกันสังคม จ่ายเงินบำนาญให้ใครลดลง เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่เคยได้รับเงินบำนาญมาก่อน
ม.33 ส่วนใหญ่ได้ใกล้เคียงเดิม-คนได้ลดราว 20-30 %
“สูตรใหม่เป็นสูตรที่สมดุลกับเงินสมทบและเป็นธรรม ซึ่งการชดเชยส่วนต่างเพียง 5 ปีช่วงเปลี่ยนผ่านนั้น ถือว่าเหมาะสมและเป็นไปตามหลักสากลของการคุ้มครองคนได้สิทธิอยู่เดิมและคนใกล้เกษียณ เนื่องจากหากชดเชยไปเรื่อยๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายชดเชยที่ไม่มีที่สิ้นสุดจากการต้องดึงเงินกองทุนมาใช้ จะกระทบต่อความยั่งยืนของกองทุน และเพิ่มภาระของรุ่นหลัง”นายณภูมิกล่าว
กรณีที่มีข้อกังวลในโซเชียลมีเดียว่า ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินลดลงแน่ๆนั้น นายณภูมิ กล่าวว่า ส่วนใหญ่จะได้รับใกล้เคียงเดิม หากเป็นคนที่เงินเดือนค่อยโตมาตามปกติ เนื่องจากมีการปรับค่าจ้างในอดีตให้เป็นค่าเงินปัจจุบันก่อน ณ วันที่เกิดสิทธิรับบำนาญก่อนจึงจะนำมาคำนวณ
แต่ก็จะมีคนที่ได้บำนาญลดลงหากเทียบคำนวณแบบเก่าและใหม่อยู่ประมาณ 20-30 % อาจเป็นคนที่เงินเดือนในอดีตน้อยมากๆ แล้วมาโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีสุดท้าย
“สรุปสูตรเดิมใช้เงินค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ทำให้ผู้ที่เงินเดือนลดลงช่วงท้ายเสียเปรียบ ส่วนสูตรใหม่ Care จะใช้ค่าจ้างเฉลี่ยทุกเดือน โดยใช้ "แต้มบำนาญ" (Pension Points)ในการปรับค่าเงินเป็นปัจจุบัน ซึ่งการคำนวณแต้มนี้จะเทียบเงินเดือนกับค่าเฉลี่ยของผู้ประกันตนทุกคนในระบบ และมีมาตรการคุ้มครอง คนที่ได้รับบำนาญอยู่แล้วไม่มีใครได้เงินน้อยลงแน่นอน มีบางคนได้เพิ่มขึ้น และผู้ใกล้เกษียณมีแผนการชดเชยช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี”นายณภูมิกล่าว
สูตรเก่า ไม่เป็นธรรม 5.7 แสนคน
ขณะที่ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน คณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ดประกันสังคม) กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้รับเงินบำนาญชราภาพ ประกันสังคมอยู่ประมาณ 800,000 คน โดยใช้สูตรคำนวณเก่า จากการศึกษาของสำนักงานประกันสังคม พบว่ามีผู้ประกันตนถึง 570,000 คน ที่ได้รับบำนาญแบบไม่เป็นธรรม หมายความว่า สมทบเงินสูงกว่าบำนาญที่ควรจะได้รับ ในขณะที่มีผู้ได้รับบำนาญในอัตราที่เหมาะสมอยู่แล้วประมาณ 200,000 กว่าคน
“ปัญหาเรื่องการได้รับเงินบำนาญต่ำกว่าที่ควรจะได้รับ มีการฟ้องร้องไปถึงระดับศาลปกครอง และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ทำให้เกิดการทบทวนและนำมาสู่การศึกษาการใช้สูตรบำนาญแบบมาตรฐานที่ใช้กันในหลายประเทศ ซึ่งเป็นสูตรที่มีการปรับให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น”รศ.ดร.ษัษฐรัมย์กล่าว
อีก 10 ปี บำนาญเพิ่ม 7-8% ต่อคน
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ย้ำว่า เมื่อนำสูตร Care มาใช้คำนวณ จะส่งผลให้กลุ่มผู้รับบำนาญ 800,000 คน โดยเฉพาะ 570,000 คนที่ได้รับบำนาญไม่เป็นธรรมอยู่ จะได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย ประมาณ 270 บาทต่อเดือนต่อคน นอกจากนี้ ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีผู้รับบำนาญเกือบ 3 ล้านคน ซึ่งจะได้รับเงินบำนาญเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7-8% ต่อคน
“ผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากสูตรใหม่นี้คือ ผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นหลัก เนื่องจากผู้ที่ส่งมาตรา 39 มาตลอดชีวิต หรือส่งมาตรา 39 ต่อจากมาตรา 33 เพียงเล็กน้อย จะไม่ได้รับบำนาญเพิ่มขึ้นมากนัก เพราะฐานเงินที่ส่งค่อนข้างคงที่”รศ.ดร.ษัษฐรัมย์กล่าว
เป็นธรรมแรงงานทุก Gen
สูตรใหม่นี้จะทำให้แรงงานGen Z ในอนาคตได้รับประโยชน์มากขึ้น เพราะมีแนวโน้มที่จะไม่ได้ทำงานยาวนานในชีวิต เงินเดือนช่วงแรกอาจจะมากแล้วออกมาเป็นฟรีแลนซ์ ขณะที่การปรับเพดานค่าจ้างจ่ายเงินสมทบที่จะเกิดขึ้นทยอยเป็นขั้นบันไดนั้น จะทำให้แรงงานรุ่นก่อน ปัจจุบัน หรือใกล้เกษียณก็จะได้ประโยชน์ เมื่อทำควบคู่กัน นอกจากเสถียรภาพกองทุนแล้วยังก่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างรุ่นด้วย
“ไม่มีทางที่จะออกแบบสูตรนี้ เพื่อตั้งใจให้คนได้รับบำนาญน้อยลง คนที่ได้อยู่แล้วได้เพิ่มขึ้น ส่วนคนในอนาคตไม่มีทางทราบว่าจะเกษียณด้วยเงินเท่าไหร่ เป็นเพียงการคาดการณ์ สิ่งที่ทำได้คือออกแบบสูตรให้มีความเป็นธรรมมากที่สุด ระยะเวลาคืนทุนมีความตายตัว จะเป็นจุดเปลี่ยนต่อการสร้างความเป็นธรรมและยั่งยืนของกองทุนประกันสังคมในภาพใหญ่”รศ.ดร.ษัษฐรัมย์กล่าว
ประเด็นเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมเมื่อมีการปรับสูตรบำนาญ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ กล่าวว่า การใช้สูตรใหม่ ทางคณิตศาสตร์ประกันภัย ฝ่ายวิจัยให้ข้อมูลว่าจะใช้เวลาคืนทุนประมาณ 5-6 ปี หมายความว่า เงินสมทบที่จ่ายมาทั้งหมด หากรับบำนาญประมาณ 5-6 ปี จะเป็นการคืนทุน และสมดุลกับทุกประเภทการสมทบ
ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใน 10 ปี อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท เฉลี่ยปีละราว 17,000 ล้านบาท หลังจากนั้นค่าใช้จ่ายส่วนต่างจะเป็น 0 เนื่องจากผู้ประกันตนที่รับบำนาญอยู่แล้วเริ่มเสียชีวิต ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายที่มากในช่วงแรกซึ่งเป็นค่าชดเชยราว 30,000 ล้านบาท ถือว่าประกันสังคมจ่ายค่าเช่าทางเศรษฐกิจ เป็นเงินที่ควรจ่ายให้ผู้ประกันตนตั้งแต่ปี 2557 แต่ที่ผ่านมาไม่ได้จ่าย







