ชีวิตไม่มีเกษียณ  มีแต่เปลี่ยนบทบาท และการเรียนรู้ โดย อนิรุทธิ์ ตุลสุข

ชีวิตไม่มีเกษียณ  มีแต่เปลี่ยนบทบาท และการเรียนรู้ โดย อนิรุทธิ์ ตุลสุข

เมื่อเดือนที่ผ่านมา ข่าวโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดสำหรับพนักงานที่มีอายุเริ่มต้น 45 ปีขึ้นไป ได้สร้างความตื่นตระหนกให้คนทำงาน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนเป็นอย่างมาก

ความสะเทือนใจแรก คือ กรอบอายุเกษียณถูกลดลงจากเดิมราว 5-10 ปี ซึ่งสั่นคลอนบรรทัดฐานอายุการทำงานที่เคยมีมา จนอดคิดไม่ได้ว่า ในอนาคตอันใกล้ องค์กรต่างๆ จะพากัน “ลดบาร์” ในการปลดระวางแรงงานตามกันไหม

ส่วนอีกความสะเทือนใจ คือ คนอายุแค่เพิ่งสามสิบหยกๆ สี่สิบหย่อนๆ นี่ ถูกผลักให้เข้าสู่สถานะ “เกษียณงาน” โดยไม่ทันตั้งตัว ไม่ต่างจากการยัดเยียดสถานะความเป็นคุณตา คุณยาย ให้โดยไม่เต็มใจ (ฮา)

ทั้งที่ความจริงในยุคนี้กลับสวนทางกับภาพนั้น เพราะผู้คนแก่ช้าลงมากกว่าเดิม หากรู้จักดูแลตนเองทั้งกายและใจอย่างเหมาะสม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'จะทำมันไปทำไม?' เป็นคำถามแล้ว จะได้อะไรขึ้นมา โดย อนิรุทธิ์ ตุลสุข

'Empathy' เข็มทิศผู้นำยุค AI ปั้นทักษะพนักงาน ชนะหุ่นยนต์

ผู้หญิงยังคงสดใสได้ ด้วยการดูแลรูปร่าง การแต่งตัว และบุคลิกภาพที่ดี ผู้ชายยังคงหนุ่มแน่นได้ ด้วยการออกกำลังกายอย่างมีวินัย และใส่ใจเสื้อผ้า หน้าผม ส่วนคนทำงานเองก็ “ไม่ถึงวัยเกษียณ” หากยังเรียนรู้สิ่งใหม่และปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลง

สำนวน “Life begins at Forty” ที่ Walter B. Pitkin เสนอไว้ตั้งแต่ปี 1932 จึงยังคงทันสมัย เพราะชี้ว่า วัย 40 คือจุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิต ทั้งๆที่ยุคนั้น คนอายุเฉลี่ยเพียง 50 กว่าปี เท่านั้นเองครับ ในปัจจุบันสถิติในไทยยืนยันว่า ประชากรไทยมีอายุเฉลี่ยมากกว่า 75 ปี ดังนั้น คนวัย 40 อัพ จึงเป็นเพียงการก้าวพ้น “ครึ่งทางของชีวิต” มาเล็กน้อยเท่านั้นเอง

ในแง่ของจิตวิทยาองค์กร คนวัย 40 อัพ คือกลุ่มที่มีทั้งประสบการณ์ชีวิตและทำงานมาอย่างยาวนาน มีความเข้าใจในธรรมชาติของธุรกิจและอุตสาหกรรม รวมถึงผู้คนอย่างลึกซึ้ง และทำหน้าที่เป็น “สะพาน” เชื่อมคนต่างเจเนอเรชันได้อย่างมีคุณค่า ตามโลกของความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ “ค่าเฉลี่ย” หรือ “ข้อมูลตามตำรา”

ในแง่สมอง แม้ความเร็วในการคิดอาจ “ลดลง” ตามวัย แต่จะชดเชยด้วยความ “ลุ่มลึก” ที่เพิ่มขึ้น ทั้งความรู้ ประสบการณ์ และการใช้วิจารณญาณที่สั่งสมมา สิ่งนี้เรียกว่า “ความฉลาดแบบตกผลึก” (Crystallized intelligence) ซึ่งจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงวัยกลางคน และติดตัวเราไปอีกนานแสนนาน ก็ช่วยให้การวางแผน การตัดสินใจ และการควบคุมตนเองดีขึ้น

นอกจากนี้ งานวิจัยด้าน “ความยืดหยุ่นของสมอง” (Neuroplasticity) ยังชี้ให้เห็นว่าสมองสามารถสร้างการเชื่อมโยงใหม่ๆ ได้เสมอแม้ในวัยผู้ใหญ่ นั่นหมายความว่ากระบวนการคิดของคนเรายังคงเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ หากเรายังคงเรียนรู้และท้าทายตัวเองอยู่เสมอ ด้วยการขับเคลื่อนแบบ Growth Mindsets

คนวัย 40 อัพ จึงอาจไม่ได้เป็นคน “ทำเร็ว” เท่าคนรุ่นใหม่ไฟแรง แต่ก็สามารถเป็นคน “ทำถูก” และ “ทำลึก” มากกว่าได้

คำว่า “Old is gold” จึงเป็นไปได้

ข่าวโครงการเกษียณตั้งแต่อายุ 45 ปี แม้จะดูน่าตกใจ แต่ก็ไม่ใช่ข่าวร้ายจนเกินไป เพราะเป็นโครงการแบบสมัครใจ ยังไม่ได้บังคับให้ออกแต่อย่างใด จึงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่า โลกของการทำงานกำลังจะเปลี่ยนไป และเราต้องเริ่มปรับตัวด้านใดบ้าง หากเลือกทำงานในองค์กรต่อไป ก็ปรับทักษะการทำงานให้มีคุณค่าเหมาะสมกับที่องค์กรต้องการ หรือ ถ้าตัดสินใจเริ่มต้นเส้นทางใหม่ๆ ก็ยังมีแรงกายแรงใจ เริ่มต้นตามความฝัน ผ่านการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของตัวเราสั่งสมมาเป็นต้นทุน

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยกว่า 40 นี่เป็นสัญญาณว่า ควรเริ่มวางแผนสำรองตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้มีทางเลือกในวันข้างหน้า หากต้องตัดสินใจก้าวออกมาจากการทำงานในองค์กร

ในอนาคต ไม่ว่าอายุเท่าใด คนทำงานจึงต้องเป็นดั่งนกที่ต้องเชื่อมั่นในทัศนะ ความสามารถ และความแข็งแรงของปีกของตัวเอง ให้มากกว่ากิ่งไม้ที่เกาะอยู่ และพาตัวเองไปยังที่ ที่เหมาะสมได้ถูกต้องตามสถานการณ์

ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตจะไม่มีคำว่า “เกษียณ” แต่จะเป็นเพียงการ “เปลี่ยนบทบาท” การทำงานตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ตราบใดที่ใจเรายังหนุ่มสาวและพร้อมที่จะเรียนรู้ ชีวิตก็จะเติบโตและงอกงามในทุกช่วงวัยครับ