กรรมการชง 4 มาตรการ สกัด ‘นอมินี’  ฮุบกิจการ ผ่านประกันสังคม

กรรมการชง 4 มาตรการ สกัด ‘นอมินี’  ฮุบกิจการ ผ่านประกันสังคม

‘อ.ษัษฐรัมย์’ เผยกองทุนประกันสังคมยังถือครอง “หุ้นบางจาก”ในสัดส่วนเดิม มิได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ชง 4 มาตรการป้องกันการแสวงประโยชน์ที่มิชอบ พร้อมปฏิรูปประกันสังคมออกนอกระบบราชการ

KEY

POINTS

  • เสนอให้จำกัดการลงทุนนอกแผนยุทธศาสตร์ (Non-SAA) ให้ต้องเป็นการลงทุนที่สร้างประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ประกันตนเท่านั้น
  • กำหนดให้การซื้อขายหุ้นล็อตใหญ่ (Big Lot) ต้องเปิดเผยตัวตนผู้ซื้อที่แท้จริง (Ultimate Beneficial Owner) เพื่อป้องกันการใช้นอมินี และห้ามขายให้กลุ่มที่มีปัญหาด้านธรรมาภิบาล
  • เสนอให้การขายหุ้นต้องดำเนินการผ่านกระบวนการประมูล (Auction Process) ที่โปร่งใส
  • ป้องกันการขายหุ้นในลักษณะที่อาจนำไปสู่การเข้าควบคุมกิจการ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตน และประโยชน์สาธารณะ

รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน คณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ดประกันสังคม) ได้โพสต์เรื่อง “ทุนโนมินีชนชั้นนำสองประเทศ กับพอร์ตลงทุน 2.7 ล้านล้าน และหุ้นบางจาก - ไล่ไทม์ไลน์ความพยายามเข้าซื้อบางจาก และปัญหาความโปร่งใสของการลงทุนประกันสังคม” ระบุว่า  การนำประกันสังคมสู่แสงสว่างของทีมประกันสังคมก้าวหน้าจึงเป็นหัวใจสำคัญที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง และรักษาผลประโยชน์หลักพันล้านให้แก่ผู้ประกันตนได้อย่างแท้จริง

จากบทความ Thaksin Shinawatra’s Mystery Fixer Man - by John Berthelsen ได้ระบุข้อความว่า “การที่ทักษิณร่วมกับฮุน เซน ซื้อบางจาก จากประกันสังคมไม่ได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่ฮุน เซน?”

บางจากอยู่พอร์ตลงทุนยุทธศาสตร์น่าตั้งคำถาม

ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2558 ประกันสังคมเข้าถือหุ้นบางจากมูลค่า 5,931 ล้านบาท โดยจัดการลงทุนนี้เป็น "การลงทุนยุทธศาสตร์" หรือ "การลงทุนนอกแผนปกติ" ซึ่งการลงทุนแผนปกติ คือ การกำหนดสัดส่วนของสินทรัพย์ประเภทต่างๆแบบตายตัว เพื่อการบริหารความเสี่ยง และผลตอบแทนให้สอดคล้องกับกองทุน

โดยก่อนปี 67 มีกรอบการลงทุน “เชิงยุทธศาสตร์” หรือ นอกแผนปกติ 2% ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท ก่อนปรับมาเป็น 3.5% ประมาณ 70,000-80,000 ล้านบาทในปี 67

แต่สิ่งที่เป็นที่น่าสงสัยคือ โดยปกติแล้วการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ จะต้องมีเป้าประสงค์เน้นผลประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกันตน เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ยต่ำ หรือโครงการที่สร้างประโยชน์ตรงแก่ผู้ประกันตน

การที่บางจากอยู่ในพอร์ตการลงทุนยุทธศาสตร์จึงเป็นที่น่าตั้งคำถาม เพราะหากหลักเกณฑ์นี้หลวมเกินไป หุ้นทุกตัวในตลาดก็อาจกลายเป็น "หุ้นยุทธศาสตร์" ได้ การที่หุ้นจากทาง ปตท. 5,931 ล้านบาท เข้าสู่พอร์ตประกันสังคมจึงเต็มไปด้วยข้อคำถาม
กรรมการชง 4 มาตรการ สกัด ‘นอมินี’  ฮุบกิจการ ผ่านประกันสังคม

ประเด็นที่น่าคิด คือ ในปี 2567 ข้อมูลจาก asiasentinel.com ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะมีข้อเสนอซื้อหุ้นบางจากทั้งหมดที่ประกันสังคมถือครอง (Big Lot) มูลค่ามากกว่า 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 14% ของบริษัท การเข้าซื้อในสัดส่วนนี้หมายถึงการพยายามเข้าซื้อกิจการบางจาก ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ปั๊มน้ำมัน แต่ยังรวมถึงสิทธิในโรงกลั่น และใบอนุญาตต่างๆ ที่เป็นที่สนใจของกลุ่มทุนพลังงาน

ตั้งข้อสังเกตรายชื่อกลุ่มที่เข้ามาทำข้อเสนอ

อย่างไรก็ตาม อนุกรรมการบริหารการลงทุนสำนักงานประกันสังคม โดยเฉพาะตัวแทนผู้ประกันตน ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างมากถึงรายชื่อกลุ่มที่เข้ามาทำข้อเสนอ เนื่องจากกลุ่มนี้มีปัญหาในเรื่อง “การระบุตัวตน และไม่สามารถระบุว่าใครคือ ผู้ซื้อที่แท้จริง ซึ่งขัดกับหลักการบริหารความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล การยอมรับทางสังคม และผลกระทบทางสังคม”

ภายใต้กรอบ SAA (Strategic Asset Allocation) ระยะ 5 ปี มีข้อกำหนดสำคัญว่า การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์จำเป็นต้องให้ผลประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ประกันตน และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่ไม่มีข้อตกลงประโยชน์ชัดเจน

ด้วยเหตุนี้ หุ้นบางจากจึงถูกปรับสถานะเป็นหุ้นแบบปกติที่สามารถซื้อขายได้ตามกลไกตลาด ทีมประกันสังคมก้าวหน้า และผมเองได้ตั้งข้อสังเกตสำคัญทั้งในระดับอนุกรรมการบริหารการลงทุน และคณะกรรมการชุดใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้การซื้อขายบางจากไหลไปสู่กลุ่มทุนที่ไม่มีความโปร่งใส ไร้ซึ่งธรรมาภิบาล และไม่สามารถระบุตัวผู้ซื้อที่แท้จริงได้

ประกันสังคมยังคงถือครองหุ้นบางจากสัดส่วนเดิม

ณ วันนี้ ประกันสังคมยังคงถือครองหุ้นบางจากในสัดส่วนเดิม มิได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเงื่อนไข และความกังวลที่เราได้ให้ไว้เป็นข้อกำหนดสำคัญ

เมื่อเราเชื่อมโยงข้อมูลที่ผ่านมา จึงมีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มทุนที่มีเป้าประสงค์จะเข้าซื้อ และถือครองบางจากอาจเป็นกลุ่มทุนที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และจากไทม์ไลน์ของกระบวนการที่มีการพยายามผลักดันผ่านช่องทางต่างๆ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอาจมีเครือข่ายการลงทุนที่อาจมีประวัติไม่ดีมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ตามที่บทความได้ระบุ

"ความโชคดีของผู้ประกันตนคือ กรรมการ และอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วนได้ตรวจสอบ และป้องกันเรื่องนี้อย่างจริงจัง"

ชงมาตรการสกัดแสวงประโยชน์มิชอบ

เพื่อป้องกันปัญหาความไม่โปร่งใสเช่นนี้ในอนาคต จึงได้เสนอมาตรการสำคัญหลายประการ ป้องกันการแสวงประโยชน์ที่มิชอบ

  • ประการแรก การจำกัดการลงทุน นอกยุทธศาสตร์มูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท (Non-SAA) ต้องเป็นการลงทุนที่สร้างผลประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ประกันตนเท่านั้น ไม่ใช่การลงทุนอื่นๆ
  • ประการที่สอง การซื้อขาย Big Lot ต้องมีการกำหนดให้มีการแสดงรายละเอียดผู้ถือหุ้นชั้นสุดท้าย (Ultimate Beneficial Owner) ไม่ให้ใช้ Nominee หรือบริษัทจดทะเบียนที่อาจอยู่นอกเขตอำนาจศาลไทยเป็นผู้ซื้อ การประเมินราคา และมูลค่าอย่างเข้มงวด และห้ามขายให้กับกลุ่มที่มีปัญหาด้านธรรมาภิบาล
  • ประการที่สาม การขายต้องเป็นการขายแบบ Auction Process โปร่งใส
  • ประการที่สี่ หากเป็นการขายในลักษณะที่สามารถเข้าควบคุมกิจการ ต้องป้องกันการขายที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกันตน และผลประโยชน์สาธารณะ

ตราบใดที่ประกันสังคมยังอยู่ภายใต้ระบบราชการที่ไม่โปร่งใส ผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนมหาศาลนี้ จะซ่อนอยู่ภายในสำนักงานที่สามารถถูกแต่งตั้งทางตรงได้จากรัฐมนตรี ที่ยึดโยงกับสายบังคับบัญชาไม่ใช่ผู้ประกันตน การปฏิรูปประกันสังคมออกนอกระบบราชการ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะสร้างประกันสังคมให้เป็นของทุกคนได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์