'เพชฌฆาต...ความเครียด? ผู้ร้าย VS กระตุ้นให้เกิดผลงาน โดย...อนิรุทธิ์ ตุลสุข

ความเครียด ไม่ใช่เรื่องที่อันตราย เป็นผู้ร้ายเสมอไป ความเครียดก็มีประโยชน์ในการทำงาน แถมมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดผลงาน
การเติบโตพัฒนา และความสำเร็จทั้งกับตัวพนักงานและองค์กรอีกด้วย! ความเครียด ที่ว่านั้นต้องเป็นแบบสร้างสรรค์ หรือ ที่เรียกว่า Eustress ที่ออกมาในระยะเวลาที่เหมาะสม มีแอร์ไทม์กำลังดี ไม่มีซีนที่มากจนเกินไป จึงจะเป็นสารตั้งต้นที่ดีในการเรียนรู้และพัฒนาของมนุษย์เรา ซึ่งกลไกแบบย่อๆ คือ เมื่อคนเราเริ่มเครียด สารสื่อประสาทหลายตัวจะทำงานประสานกัน ในระดับที่เหมาะสม ความเครียดแบบ Eustress นี้ จะทำให้การทำงานของสมองส่วนต่างๆ มีพลังงาน ความตื่นตัว และความกระตือรือร้น
สมองส่วนหน้า ซึ่งรับผิดชอบการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น จึงช่วยเพิ่มสมาธิ ความจดจ่อ และประสิทธิภาพในการทำงานได้ และ เมื่อมีความท้าทายในระดับที่เหมาะสม ก็จะช่วยกระตุ้นให้คิดนอกกรอบ คิดสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อย่าปล่อยให้ความเครียด เกิดขึ้นเวลานาน และต่อเนื่อง
ระบบให้รางวัลในสมองทำงาน การหลั่งโดปามีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึกพึงพอใจ จะทำให้เรามองความท้าทายเป็นโอกาสมากกว่าเป็นภัยคุกคาม จึงทำให้รู้สึกตื่นเต้น กระตือรือร้น และมีพลัง กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ และนำไปสู่ความรู้สึกสำเร็จและภาคภูมิใจ
การสร้างวงจรประสาทใหม่เกิดขึ้น เมื่อทำสิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยกลไกการได้รับรางวัล ข้างต้นแล้ว สมองจะมีการเชื่อมโยงวงจรประสาทใหม่ (Neuroplasticity) ทำให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะต่อไป
ดังนั้น สิ่งที่ต้องระวัง คือ อย่าปล่อยให้เจ้าความเครียดตัวเดียวกันนี้ เกิดขึ้นเป็นเวลานาน และต่อเนื่องเกินไป เพราะบทบาทและชื่อของมันก็จะเปลี่ยนไป จากผู้สร้างกลายร่างเป็น ผู้ทำลายล้าง หรือ Distress ทันที จากนั้นมันก็จะเริ่มยุทธการบั่นทอนสุขภาพกายและใจคนทำงาน จนเป็นจุดเริ่มของหายนะทางสุขภาพต่างๆ ในที่สุด
นอกเหนือจากความเจ็บป่วยแล้ว ผลต่อประสิทธิภาพการทำงานแบบตรงๆ คือ ระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) ที่ล้นเกินจนชุ่มฉ่ำ ทำให้เกิดการรบกวนการทำงานงานสมองส่วนหน้า และการหมุนเวียนของเลือดเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติ เพื่อเตรียมรับภัยคุกคาม แต่ความที่มากเกินพอดี จึงทำให้ความสามารถในการตัดสินใจลดลง เกิดความกลัว ความวิตกกังวลที่ไม่จำเป็น และ มีความจำที่ย่ำแย่ลง จากการที่สมองบางส่วนถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
ส่วนหนึ่งของคนทำงานที่หมดไฟ ซึมเศร้า จึงเกิดจากความเครียดตัวนี้อย่างเรื้อรัง นั่นเองครับ ดังนั้น การบริหารความเครียดให้ได้ดี จึงเริ่มจากการมองว่า ความเครียดเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ด้วย แล้วสร้างระดับของความเครียดเชิงบวก (Eustress) ในทีม เพื่อไม่ให้เกิด Comfort Zone เกินไป จนมีวัฒนธรรมที่พยายามหลีกเลี่ยงความท้าทาย และ ต้องดูแลบรรยากาศในทีม ไม่ให้เกิด ความเครียดเชิงลบ (Distress) ที่เรื้อรัง จนร่างคนทำงานพังแบบซ่อมไม่ได้
ซึ่งแนวทางที่ผู้นำทีมสามารถทำได้ก็คือหมั่นสังเกตถึงสัญญาณเตือนของความเครียดเชิงลบของคนในทีม เช่น อารมณ์แปรปรวน หรือประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง บริหารงานเพื่อสร้างความท้าทายให้เหมาะสม เช่น การมอบอำนาจตัดสินใน กำหนดเป้าหมาย หรือ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้ จัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอ ให้ทีมมีเครื่องมือ เวลา และการสนับสนุนที่จำเป็นในการทำงาน
สร้างสมดุลระหว่างงานเร่งด่วนและงานปกติ หลีกเลี่ยงการทำงานในโหมดวิกฤตตลอดเวลา
เสริมทักษะการจัดการความเครียด ให้ตัวเองและพนักงานได้เรียนรู้เทคนิคการจัดการความเครียด เช่น การฝึกสติ การออกกำลังกาย หรือ กิจกรรมศิลปะต่างๆ ทางบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ อย่าง Mckinsey เอง ยังแนะนำว่า หัวหน้าแห่งอนาคต ต้องมีโหมดขำขันได้ (Levity) เพราะจะช่วยผ่อนคลาย และสร้างกำลังใจให้ทีมงานได้มาก ในยุคที่สถานการณ์วิกฤตรุมเร้าแบบทุกวันนี้
ส่งเสริมให้พนักงานมีเวลาพักและฟื้นฟูพลังงานบ้าง
การดูแลความเครียดของคนในองค์กรนั้น ผู้นำจึงต้องเป็น “เพชฌฆาตความเครียดที่ลงดาบ เฉพาะความเครียดที่เป็นภัย และทำร้ายคนขององค์กรเราเท่านั้น” ส่วน ความเครียดที่ดี ก็ปล่อยให้อยู่กับทีมไว้เถอะครับ เพราะธรรมชาติของคน ก็ต้องการแรงขับเคลื่อน เพื่อผลักให้งานเดินหน้าด้วยเช่นกัน







