'กองทุนประกันความเสี่ยง' ป้องกันลูกจ้างถูกเบี้ยวเงินเลิกจ้าง

1 พ.ค. วันแรงงานแห่งชาติ 2568 แกนนำย้ำสำคัญที่สุดต้องจัดตั้ง “กองทุนประกันความเสี่ยง” หลักประกันให้ลูกจ้าง ป้องกันชวดเงิน นายจ้างหอบเงินหนีหลังถูกเลิกจ้าง
KEY
POINTS
- 1 พ.ค. วันแรงงานแห่งชาติ 2568 กลุ่มแรงงานยื่น 9 ข้อเรียกร้อง แกนนำย้ำสำคัญที่สุดต้องจัดตั้ง “กองทุนประกันความเสี่ยง”
- ย้ำว่ากองทุนนี้ก็เหมือนเป็นการนำเอาเงินจากนายจ้างออกมาไว้ที่กองทุนประกันความเสี่ยง เพื่อเป็นหลักประกันให้ลูกจ้าง ป้องกันชวดเงิน นายจ้างหอบเงินหนีหลังถูกเลิกจ้าง
- ขณะที่พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงานพร้อมเดินหน้าแก้กฎหมายช่วยได้เงินเมื่อถูกเลิกจ้าง กระทรวงแรงงานมอบของขวัญ“แหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ”
1 พฤษภาคม วันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2568 ซึ่งลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในพื้นที่จัดงานที่สำคัญ โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบของขวัญ และรับข้อเรียกร้องจากผู้ใช้แรงงาน 9 ข้อ
9 ข้อเรียกร้องวันแรงงาน ปี 2568
กลุ่มแรงงานได้มีการยื่นข้อเรียกร้อง จำนวน 9 ข้อต่อรัฐบาลและกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย
1.ให้รัฐบาลเร่งรัดการรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ค.ศ.1948 และฉบับที่ 98 ว่าด้วยเรื่องสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง ค.ศ.1949
2.ให้รัฐบาลตราพ.ร.บ. หรือประกาศเป็นกฎกระทรวงให้มีการจัดตั้ง “กองทุนประกันความเสี่ยง” เพื่อเป็นหลักประกันในการทำงานของลูกจ้าง
3.ให้รัฐบาลยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้จากเงินก้อนสุดท้ายที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้าง เมื่อพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างในทุกกรณี ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจในวงเงิน 1 ล้านบาท
4.ให้พนักงานรัฐวิสาหกิจสามารถอยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นระบบเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และมีลักษณะการจ่ายเงินร่วม (co-payment) เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทยอย่างเป็นธรรม
5.ให้รัฐบาลปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคม
- ปรับฐานการรับเงินบำนาญ ให้มีรายรับไม่น้อยกว่า 5,000 บาท
- กรณีที่ผู้ประกันตนเกษียณอายุ และรับเงินบำนาญแล้ว เมื่อสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ให้มีสิทธิรับเงินบำนาญต่อไป
- ในกรณีผู้ประกันตนพ้นสภาพจากมาตรา 33 และสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 การคิดคำนวณเงินบำนาญขอให้ใช้ฐานค่าจ้างจากมาตรา 33
- เมื่อผู้ประกันตนรับบำนาญแล้ว ให้คงสิทธิรักษาพยาบาลตลอดชีวิต
- กรณีผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาพยาบาลโรคร้ายแรงและเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็งทุกชนิด ให้ครอบคลุมถึงการใช้ยารักษาพยาบาลตามที่แพทย์แนะนำ
- ขยายอายุผู้เริ่มเข้าเป็นผู้ประกันตนจากเดิม 15-60 ปี เป็น 15-70 ปี เพื่อให้เข้ากับสังคมผู้สูงอายุ
6.ให้รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน ดำเนินการให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างเหมาค่าแรง ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม.11/1 อย่างเคร่งครัด
7.ให้รัฐบาลยกระดับกองความปลอดภัยแรงงาน เป็น กรมความปลอดภัยแรงงาน
8.ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 7 ลงวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2541 กฎกระทรวงฉบับที่ 8 ลงวันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2541 และกฎกระทรวงฉบับที่ 13 ลงวันที่ 27 มกราคม พ.ศ.2543 ซึ่งทั้ง 3 ฉบับออกตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มีข้อความตัดสิทธิลูกจ้างรายเดือนที่ทำงานล่วงเวลาไม่ให้ได้รับค่าล่วงเวลา 1.5 เท่า เช่นเดียวกับพนักงานรายวัน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับทราบ และรับว่าจะดำเนินแก้ไขมาก่อนแล้ว
และ 9.ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานแต่งตั้งคณะทำงานติดตามข้อเรียกร้องวันแรงงานแห่งชาติ ปี 2568
จัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง
นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ใน 9ข้อเรียกร้องที่สำคัญที่สุด เพราะทำให้มาตรฐานการทำงานของลูกจ้างมั่นคง คือ “การจัดตั้งกองทุนประกันความเสี่ยง” เพื่อเป็นหลักประกันในการทำงานของลูกจ้าง โดยเฉพาะกรณีการถูกเลิกจ้างแล้วนายจ้างไม่จ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ให้เห็นเป็นประจำทุกปี หากเป็นรายย่อยๆก็ไม่เป็นข่าว แต่หากมีลูกจ้าง 50-70 คนก็จะเป็นข่าวให้เห็น
“หากมีกองทุนนี้ก็จะทำให้ลูกจ้างมีหลักประกันมาตั้งแต่ต้นว่าหากถูกเลิกจ้าง จะมีเงินจ่ายชดเชยให้ได้ตามกฎหมาย แม้ว่าจะถูกนายจ้างหอบเงินหนีจนทำให้ลูกจ้างไม่ได้เงินเลยเหมือนที่พบเจออยู่ในปัจจุบัน เมื่อมีกองทุนนก็จะมีเงินจากส่วนนี้จ่ายให้ลูกจ้างแทนนายจ้าง”นายพนัสกล่าว
นายพนัส ย้ำว่ากองทุนนี้ก็เหมือนเป็นการนำเอาเงินจากนายจ้างออกมาไว้ที่กองทุนประกันความเสี่ยง เพื่อเป็นหลักประกันให้ลูกจ้าง มิฉะนั้น ก็จะมีการตั้งงบประมาณหลอกไว้ในงบประมาณผลประโยชน์พนักงานปีหน้า เป็นผลประโยชน์ค้างชำระ แต่พอเจ๊งนายจ้างก็หอบเงินหนีไปด้วย แต่หากแก้กฎหมายเรื่องนี้ก็ต้องเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก็คงถูกทุนนิยมค้านแหลกลานไปหมด
ของขวัญ “แหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ”
ขณะที่ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานมอบ ของขวัญวันแรงงาน ให้แก่ นายจ้าง และลูกจ้าง ผู้ประกันตน ทั่วประเทศ ผ่านโครงการ เพิ่มโอกาส เข้าถึงแหล่งเงิน “ทุนอาชีพ”ดอกเบี้ยต่ำ คือนโยบายที่กระทรวงแรงงานเตรียมผลักดันร่วมกับธนาคารพันธมิตร เพื่อเปิดทางนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ
1.กลุ่มลูกจ้าง ที่ต้องการพัฒนาอาชีพเสริมหรือตั้งต้นธุรกิจ โครงการ ”ทุนอาชีพ“ วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยให้ ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตน สามารถเข้าถึงทุนได้จริง ที่สำคัญที่สุดคือ เพิ่มจากการ “คุ้มครอง” ให้เป็น “โอกาส” เพื่อสร้างอาชีพใหม่ สร้างรายได้ที่มั่นคงให้ครอบครัว โดยคณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ดประกันสังคม)เห็นชอบเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2568
ในการนำเงินกองทุนไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อให้พี่น้องแรงงานไม่ว่าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ,39 หรือ 40 สามารถมากู้เงินในดอกเบี้ยระดับต่ำ กู้ได้ตั้งแต่ 2 แสนบาทขึ้นไป ซึ่งก็จะจำกัดวงเงินโดยประกันสังคม ทั้งนี้ ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 สามารถเข้าถึงวงเงินกู้ ส่วนมาตรา 40 จะต้องเป็นผู้ส่งต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 12 เดือน
และ2.กลุ่มนายจ้าง ที่ต้องการสภาพคล่อง เพื่อประคองกิจการและรักษาการจ้างงาน โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานระยะที่ 3 โดยบอร์ดประกันสังคมได้เห็นชอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท วงเงินกู้ไม่เกินรายละ 50 ล้านบาท ด้วยเงื่อนไขดอกเบี้ยต่ำมาก เริ่มต้นเพียง 2.35% ต่อปี คงที่ 3 ปี เป็นของขวัญสำหรับสถานประกอบการ ให้สามารถ “รักษาการจ้างงาน” ได้ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนที่ประกันสังคมเข้าไปสนับสนุนสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบกิจการ หรือฝ่ายนายจ้าง
เล็งแก้กม.ช่วยได้เงินถูกเลิกจ้าง
สำหรับการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเรื่องเจ้าของประกอบการปิดกิจการและทิ้งลูกจ้าง ซึ่งเบื้องต้นจะมีประกันสังคมและ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดูแล แต่สิ่งที่สำคัญ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ลูกจ้างยังไม่ได้เงินชดเชย ซึ่งกระทรวงแรงงานได้มีการหารือเกี่ยวกับในส่วนของเงินสงเคราะห์ลูกจ้าง
"จะมีการแก้ไขพ.ร.บ.ส่วนนี้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อเติมเงินเข้าไปในกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยฝ่ายนายจ้างเป็นผู้สำรอง เมื่ออนาคตมีการปิดหรือเลิกกิจการ ฝ่ายลูกจ้างสามารถมาที่กรมสวัสดิการฯ ส่วนเรื่องคดีความขอให้เป็นหน้าที่ของกรมฯไปต่อสู้กับฝ่ายนายจ้างเอง ทั้งนี้ จะมีการสรุปและเสนอเข้าครม.ในเดือนส.ค.2568”นายพิพัฒน์กล่าว
ส่วนค่าแรงขั้นต่ำไม่ค่อยอยากจะตอบเพราะเจอโรคเลื่อนตลอดเวลาเลื่อนมาเรื่อยๆ ด้วยองค์ประกอบที่ต้องบอกว่าบางครั้ง ฝ่ายนายจ้างไม่เห็นด้วย บางครั้งฝ่ายลูกจ้างไม่เห็นด้วยและบางครั้งฝ่ายภาครัฐก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะฉะนั้นการศึกษาในแต่ละเรื่องของกระทรวงแรงงานต้องตอบสนองทั้ง 3 ฝ่าย แต่คณะกรรมการไตรภาคีนั้นส่วนตัวไม่สามารถเข้าไปในห้องประชุมได้ และด้วยหลายปัจจัยที่ทำให้ที่ประชุมพยายามศึกษาและเพิ่มเติมข้อมูล







