ของขวัญวันแรงงาน 2568 ปล่อยกู้ดอกต่ำ เงินประกันสังคม 1.2 แสนล้าน

ของขวัญวันแรงงาน 2568 ปล่อยกู้ดอกต่ำ เงินประกันสังคม 1.2 แสนล้าน

ของขวัญวันแรงงาน 2568 ดึงเงินประกันสังคม 1.2 แสนล้านบาท ปล่อยกู้ลูกจ้าง-นายจ้าง เข้าถึง “ทุนอาชีพ”ดอกเบี้ยต่ำ ลดหนี้นอกระบบ–เสริมสภาพคล่องธุรกิจ

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน วันแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2568 ณ ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีเปิดงาน วันแรงงานแห่งชาติ ปี พ.ศ.2568 โดยมี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวรายงาน นายพนัส ไทยล้วน ประธานคณะกรรมการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2568 พร้อมรับข้อเรียกร้องจากผู้ใช้แรงงาน 9 ข้อ โดยย้ำว่า รัฐบาลและกระทรวงแรงงานให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานอย่างเป็นรูปธรรม และในปีนี้ได้เตรียม “ของขวัญวันแรงงาน” ชิ้นใหญ่ เพื่อช่วยแรงงานไทยประกอบอาชีพ เดินหน้ากิจการอย่างมั่นคงต่อเนื่อง

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อหน้าแรงงานหลายพันคนที่มาร่วมงานว่า กระทรวงแรงงาน ไม่เคยนิ่งนอนใจต่อข้อเรียกร้องของพี่น้องแรงงาน โดยข้อเรียกร้องในแต่ละปี มีคณะทำงานดำเนินการเดินหน้า อาทิการผลักดันร่างกฎหมายเพื่อรองรับอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 การศึกษารูปแบบกองทุนประกันความเสี่ยงกรณีเลิกจ้าง การปรับปรุงระบบประกันสังคมให้ทันสมัย มีฐานบำนาญที่เพียงพอ และขยายอายุผู้ประกันตน การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเคร่งครัด และรวมถึงการยกระดับงานด้านความปลอดภัยแรงงาน เป็นต้น พร้อมระบุนโยบายแรงงานในปัจจุบันมุ่งพัฒนาอย่างรอบด้านใน 3 มิติ ได้แก่

 1. ทักษะทันอนาคต – จัดอบรม Reskill–Upskill ฟรีทั่วประเทศ รวมถึงการส่งเสริมแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศในตำแหน่งรายได้สูง

 2. งานมีคุณภาพ – ดำเนินการผ่านการจัด Job Expo, ขับเคลื่อน “หนึ่งตำบล หนึ่งกลุ่มอาชีพอิสระ” และเปิดแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทำ” 

3.หลักประกันชีวิตแรงงาน – ปรับปรุงสิทธิประกันสังคม และเร่งผลักดันสินเชื่อเพิ่มโอกาส ช่วยแรงงานพึ่งพาตนเอง

ของขวัญวันแรงงาน 2568 ปล่อยกู้ดอกต่ำ เงินประกันสังคม 1.2 แสนล้าน

กระทรวงแรงงานมอบ “ของขวัญวันแรงงาน” ให้แก่ นายจ้าง และลูกจ้าง ผู้ประกันตน ทั่วประเทศ ผ่านโครงการ เพิ่มโอกาส เข้าถึงแหล่งเงิน “ทุนอาชีพ”ดอกเบี้ยต่ำ คือนโยบายที่กระทรวงแรงงานเตรียมผลักดันร่วมกับธนาคารพันธมิตร เพื่อเปิดทางนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ

1.กลุ่มลูกจ้าง- ที่ต้องการพัฒนาอาชีพเสริมหรือตั้งต้นธุรกิจ โครงการ ”ทุนอาชีพ“ วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท เพื่อช่วยให้ ลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตน สามารถเข้าถึงทุนได้จริง ที่สำคัญที่สุดคือ เพิ่มจากการ “คุ้มครอง” ให้เป็น “โอกาส” เพื่อสร้างอาชีพใหม่ สร้างรายได้ที่มั่นคงให้ครอบครัว

โดยคณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ดประกันสังคม)เห็นชอบเมื่อวันที่ 30 เม.ย.2568 ให้จะมีการนำเงินกองทุนมา 1 ก้อนไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อให้พี่น้องแรงงานไม่ว่าเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ,39 หรือ 40 สามารถมากู้เงินในดอกเบี้ยระดับต่ำ  ตั้งแต่ 2 แสนบาทขึ้นไปซึ่งก็จะจำกัดวงเงินโดยประกันสังคม ทั้งนี้ ผู้ประกันตนมาตรา 33 และมาตรา 39 สามารถเข้าถึงวงเงินกู้ ส่วนมาตรา 40  ที่จะเข้าถึงวงเงินกู้ได้ ประกันสังคมมีข้อแม้จะต้องเป็นผู้ส่งต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลา 12 เดือน 

และ2.กลุ่มนายจ้าง ที่ต้องการสภาพคล่อง เพื่อประคองกิจการและรักษาการจ้างงาน โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานระยะที่ 3  โดยบอร์ดประกันสังคมได้เห็นชอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท วงเงินกู้ไม่เกินรายละ 50 ล้านบาท ด้วยเงื่อนไขดอกเบี้ยต่ำมาก เริ่มต้นเพียง 2.35% ต่อปี คงที่ 3 ปี เป็นของขวัญสำหรับสถานประกอบการ ให้สามารถ “รักษาการจ้างงาน” ได้ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนที่ประกันสังคมเข้าไปสนับสนุนสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบกิจการ หรือฝ่ายนายจ้าง พยายามที่จะแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้แรงงาน  

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเรื่องเจ้าของประกอบการปิดกิจการและทิ้งลูกจ้าง ซึ่งส่วนแรกประกันสังคมเข้ามาดูแลเบื้องต้น ส่วนที่ 2 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ก็เข้ามาดูแล แต่สิ่งที่สำคัญคือยังไม่ได้เงินชดเชย ซึ่งกระทรวงแรงงานได้มีการหารือในส่วนของเงินสงเคราะห์ลูกจ้างที่ฝ่ายนายจ้าง

จะมีการแก้ไขพ.ร.บ.ส่วนนี้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อเติมเงินเข้าไปในกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยฝ่ายนายจ้างเป็นผู้สำรอง เมื่ออนาคตมีการปิดหรือเลิกกิจการ  ฝ่ายลูกจ้างสามารถมาที่กรมสวัสดิการฯ ส่วนเรื่องคดีความขอให้เป็นหน้าที่ของกรมฯไปต่อสู้กับฝ่ายนายจ้างเอง ทั้งนี้ จะมีการสรุปและเสนอเข้าครม.ในเดือนส.ค.2568

 “ส่วนค่าแรงขั้นต่ำไม่ค่อยอยากจะตอบเพราะเจอโรคเลื่อนตลอดเวลาเลื่อนมาเรื่อยๆ ด้วยองค์ประกอบที่ต้องบอกว่าบางครั้ง ฝ่ายนายจ้างไม่เห็นด้วย บางครั้งฝ่ายลูกจ้างไม่เห็นด้วยและบางครั้งฝ่ายภาครัฐก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะฉะนั้นการศึกษาในแต่ละเรื่องของกระทรวงแรงงานต้องตอบสนองทั้ง 3 ฝ่าย  แต่คณะกรรมการไตรภาคีนั้นส่วนตัวไม่สามารถเข้าไปในห้องประชุมได้ และด้วยหลายปัจจัยที่ทำให้ที่ประชุมพยายามศึกษาและเพิ่มเติมข้อมูล”นายพิพัฒน์กล่าว