ทักษะชีวิตคือทางรอดของเด็กนักเรียนกลุ่มเสี่ยง

เด็กนักเรียนจำนวนไม่น้อยทั่วประเทศที่จบการศึกษาภาคบังคับที่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วต้องออกไปหางานทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัวนั้น คำถามสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าพวกเขาจะได้งานทำหรือไม่
แต่เป็นคำถามว่าพวกเขาจะมีทักษะที่จำเป็นในการประสบความสำเร็จในตลาดแรงงานมากน้อยเพียงใด
ผลการวิจัยโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า ความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาทักษะชีวิตนั้นได้เกิดขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานของเด็กเท่านั้น แต่ความแตกต่างของโรงเรียนก็มีผลด้วยเช่นกัน
ข้อสรุปข้างต้นมาจากการวิเคราะห์ทักษะชีวิต 8 ด้านที่สำคัญต่อความสำเร็จในการทำงาน ได้แก่ ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ความสามารถในการเผชิญความยากลำบาก (Adversity Quotient) คุณธรรมและจริยธรรม (Moral Quotient) การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking)
ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) การทำงานเป็นทีม (Teamwork) การมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม/ทำงาน (Participation) และทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication)
ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาส ซึ่งเป็นโรงเรียนที่รับนักเรียนทุกคนในเขตพื้นที่รับผิดชอบโดยไม่คัดเลือก และมีความพร้อมด้านทรัพยากรและบุคลากรต่ำกว่าโรงเรียนสามัญ มีคะแนนทักษะชีวิตต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่นายจ้างให้ความสำคัญสูงมากในตลาดแรงงานปัจจุบัน
ความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาคก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่าง นักเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีประชากรประมาณหนึ่งในสามของประเทศ มีคะแนนทักษะชีวิตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับชาติอย่างมีนัยสำคัญในทุกมิติ โดยเฉพาะความฉลาดทางอารมณ์และการแก้ปัญหา
ผลการวิจัยจากประเทศไทยสอดคล้องกับหลักฐานเชิงประจักษ์จากหลายประเทศทั่วโลก เช่น การศึกษาในอินเดียพบว่า ความแตกต่างระหว่างโรงเรียนเป็นปัจจัยสำคัญที่อธิบายความผันแปรของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้เป็นส่วนใหญ่ โดยคุณภาพของโรงเรียนและพฤติกรรมของครูมีผลกระทบมากกว่าปัจจัยพื้นฐานของครอบครัว
งานวิจัยระยะยาวในเคนยาที่ติดตามนักเรียนเป็นเวลาหลายปี แสดงให้เห็นว่าการปรับปรุงทรัพยากรโรงเรียนและการฝึกอบรมครูสามารถเพิ่มผลการเรียนรู้ได้อย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง และที่สำคัญคือผลกระทบนี้เท่าเทียมกันทั้งเด็กชายและเด็กหญิง
การศึกษาในต่างประเทศยังพบว่า คุณภาพการบริหารจัดการโรงเรียนที่ดีขึ้นส่งผลให้คะแนนสอบของนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยด้านสถาบัน เช่น ภาวะผู้นำ การกำหนดเป้าหมาย และการบริหารผลการปฏิบัติงาน มีผลกระทบต่อความสำเร็จทางการศึกษามากกว่าปัจจัยเบื้องต้นแบบดั้งเดิม เช่น ขนาดชั้นเรียนหรืองบประมาณต่อหัว
นอกจากนี้ งานวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่ศึกษานักเรียนที่ถูกย้ายโรงเรียน เนื่องจากการปิดโรงเรียนหรือการเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่พบว่า การเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพดีกว่าทำให้ผลการเรียนและอัตราการจบการศึกษาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การลงทุนในการปรับปรุงคุณภาพโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนขยายโอกาสและโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะความพร้อมของโรงเรียนจะช่วยเพิ่มทักษะชีวิตของนักเรียนได้
สำหรับนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่จำเป็นต้องออกไปหางานหลังจบ ม.3 ทักษะชีวิตเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาดแรงงาน การศึกษาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า นายจ้างให้ความสำคัญกับทักษะชีวิต เช่น จริยธรรมในการทำงาน การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม เท่าเทียมหรือมากกว่าทักษะทางเทคนิค
สิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือ นักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือต้องเผชิญกับความเสียเปรียบซ้อนทับกัน ทั้งจากคุณภาพโรงเรียนที่ด้อยกว่าและบริบททางภูมิศาสตร์ที่ท้าทาย เด็กกลุ่มนี้จำนวนมากจึงออกสู่ตลาดแรงงานด้วยทักษะชีวิตที่ไม่เพียงพอ ทำให้มีโอกาสน้อยในการได้งานที่มีคุณภาพและมีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
นโยบายที่เป็นรูปธรรมควรประกอบด้วยหลายมิติ ได้แต่ การเพิ่มทรัพยากรและบุคลากรในโรงเรียนขยายโอกาสให้สามารถจัดการศึกษาได้เทียบเท่ากับโรงเรียนสามัญ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะการฝึกอบรมผู้บริหารโรงเรียนในด้านภาวะผู้นำทาง การพัฒนาศักยภาพครูในโรงเรียนขยายโอกาสผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการที่มุ่งเน้นการสอนทักษะชีวิตควบคู่ไปกับเนื้อหาวิชาการ
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างโรงเรียนขยายโอกาสกับโรงเรียนสามัญเพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี ตลอดจนการสนับสนุนจากภาคเอกชนและชุมชนท้องถิ่น และนำเอาความแตกต่างในเชิงพื้นที่มาพิจารณาควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายการช่วยเหลือโรงเรียนและการช่วยเหลือแบบมุ่งเป้าไปยังนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย
ทักษะชีวิตเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ “ทักษะเสริม” แต่เป็นทักษะหลักที่กำหนดว่าพวกเขาจะสามารถหางานที่ดี พัฒนาตนเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้หรือไม่ ความรับผิดชอบของสังคมคือ การทำให้แน่ใจว่า โรงเรียนทุกแห่ง ไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคใด มีคุณภาพที่เพียงพอในการพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้กับนักเรียนทุกคน เพื่อให้นักเรียนกลุ่มนี้มีเส้นทางชีวิตที่ดี และสามารถเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้ในอนาคต







