Comprehensive University อุปาทานมหาวิทยาลัยไทย

เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ในการประชุมเพื่อทบทวนแผนพัฒนาความเป็นเลิศของสถาบันอุดมศึกษา ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. ได้พูดถึงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัยไทย
มีประเด็นที่น่าสนใจควรจะนำมาขยายความต่อในที่นี้ เพื่อที่จะหาทางออกให้มหาวิทยาลัยไทยในภาวะที่กำลังเผชิญความท้าทายจากเทคโนโลยีและการรียนรู้แบบใหม่อย่างรอบด้าน
ในที่ประชุมมีการเอ่ยว่า ในอดีตที่ผ่านมาสถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่ของไทยต่างมีความพยายามที่จะเป็น Comprehensive University ภาษาไทยจะเรียกว่ามหาวิทยาลัยครบวงจรหรืออะไรก็ตามแต่ คือ พยายามจะเก่งไปทุกเรื่อง ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์บ้าง
หรือตามอย่างมหาวิทยาลัยในต่างประเทศบ้าง เพื่อหวังจำนวนนักศึกษาและงบประมาณที่จะได้จากรัฐ บางแห่งอาจจะเอาตัวรอดเพราะอาศัยชื่อเสียงความเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยที่ยังมีนักศึกษาแย่งกันเข้าเรียน
แต่บางสถาบันกลับติดกับดักของตัวเองคือทำแล้วไม่ได้ดีสักเรื่อง ผลิตบัณฑิตออกไปด้วยปริมาณมากกว่าคุณภาพ ผู้บริหารโรงงานนินทาว่า มหาวิทยาลัยไทยผลิตวิศวกรออกมามากมาย แต่ทำงานไม่ได้ จนเขาต้องตั้งโรงเรียนผลิตช่างป้อนโรงงานตัวเอง นั่นเป็นเพราะเราไปเปลี่ยนโรงเรียนผลิตช่างฝีมือให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตที่ทำงานไม่เป็นหรือไม่อยากมือเลอะ
พอเป็นมหาวิทยาลัยแล้วก็ขยายคณะ ขยายวิทยาเขต เปิดหลักสูตรมากมายที่บางครั้งฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าจะออกไปทำอะไร มีตลาดแรงงานรองรับแค่ไหน นอกจากนั้นยังตามมาด้วยข่าวคราวเชิงลบบ่อยๆ ตั้งแต่การ “จ่ายครบจบแน่” อาจารย์รับจ้างทำวิทยานิพนธ์ ไปจนถึงมหาวิทยาลัยปั๊มด็อกเตอร์
มหาวิทยาลัยไทยจึงอยู่ในวังวนที่ยากจะถีบตัวไปเทียบชั้นในระดับโลก และต้องกลับมาทบทวนกันว่า Comprehensive University ที่มหาวิทยาลัยจำนวนมากพยายามจะไปให้ถึงกันนั้นยังตอบโจทย์หรือไม่
แผนพัฒนาความเป็นเลิศของสถาบันอุดมศึกษา ในการประชุมที่ว่านี้เสนอการแบ่งสถาบันอุดมศึกษาออกเป็น 5 กลุ่ม ตามนโยบายของกระทรวง อว. คือ (1) กลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลก (2) กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีและส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม
(3) กลุ่มพัฒนาชุมชนท้องถิ่นหรือชุมชนอื่น (4) กลุ่มผลิตและพัฒนาบุคลากรวิชาชีพและสาขาจำเพาะ และ (5) กลุ่มพัฒนาปัญญาและคุณธรรมด้วยหลักศาสนา
เพื่อให้เกิดความชัดเจนในบทบาทและภารกิจที่จะพัฒนาในทิศทางที่สอดคล้องกับศักยภาพของแต่ละกลุ่ม นั่นคือ มหาวิทยาลัยไทยจะต้องกลับมาทบทวนว่าควรจะเลือก “โฟกัส” ในเรื่องอะไรที่สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยสังคมโลก ไม่ใช่พยายามจะทำไปเสียทุกเรื่อง แต่ อว.จะสามารถกำกับทิศทางนี้ให้เกิดมรรคผลได้แค่ไหนด้วยกลไกอย่างไรก็ยังสงสัยอยู่
การเป็น Comprehensive University นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีข้อดี แต่ต้องตั้งอยู่บนความเชี่ยวชาญและความเข้มแข็งในศาสตร์นั้นๆ อย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้เกิดการบูรณาการความสามารถข้ามศาสตร์ของหลายๆ คณะหรือสาขามาตอบโจทย์สำคัญๆ ของสังคม สร้างงานวิจัยและนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ และยังทำให้นักศึกษามีทางเลือกในการเรียนที่กว้างขวางด้วย
แต่การเป็นมหาวิทยาลัยแบบนี้ก็ต้องแลกมาด้วยการบริหารจัดการที่ซับซ้อน ขาดความคล่องตัว เกิดการกระจายทรัพยากรที่ซ้ำซ้อนสิ้นเปลือง ความเหลื่อมล้ำระหว่างคณะ ที่ทำให้ในที่สุดอาจจะลงเอยที่ไม่มีอะไรเด่นดีสักเรื่อง
อย่างไรก็ดี ด้วยเทคโนโลยีในการสื่อสารที่ก้าวหน้ายิ่งในปัจจุบัน การบูรณาการข้ามศาสตร์ ข้ามมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ข้ามประเทศไม่ควรจะมีอุปสรรคใดๆ มากีดกั้น ขอเพียงให้บรรดานักวิชาการทุ่มเทกับการทำวิจัยแบบที่กระทรวง อว. อยากจะให้เป็น คืองานวิจัยระดับแนวหน้าของโลกเท่านั้น
ดังนั้น การเป็น Comprehensive University จึงไม่ควรจะเป็นเหตุผลหลักที่นำมาอ้างในความพยายามที่จะสร้างความร่วมมือข้ามศาสตร์ข้ามสาขาอีกต่อไป
มหาวิทยาลัยในประเทศไทยทั้งของรัฐและเอกชนรวมทั้งที่แตกตัวไปเป็นสาขาย่อย ศูนย์ หรือวิทยาเขต ซึ่งขณะนี้มีจำนวนรวมกันมากกว่า 400 แห่ง จึงควรจะได้หันมาทบทวนว่าจะโฟกัสในเรื่องอะไร ควรจะจัดตัวเองเข้าใน 5 กลุ่มสถาบันอุดมศึกษาดังกล่าวข้างต้นกันอย่างไร
แน่นอนว่าการปิด ตัด ยุบ ควบรวม คณะ สาขาวิชาและมหาวิทยาลัย หรือการทลายโครงสร้างแบบเดิมจะเป็นทางที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในอนาคตดังที่คอลัมน์นี้เคยเสนอไว้แล้วโดยอิงกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ (ดูบทความเรื่อง มหาวิทยาลัยไทย บนทางแยกที่ท้าทาย รอด หรือดับ โดยสุเปญญา จิตตพันธ์ และคณะ ที่ https://www.bangkokbiznews.com/health/education/1102778)
ปลัดกระทรวง อว. บอกว่า การพลิกโฉมมหาวิทยาลัยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้น สำคัญที่สุดคือ “ภาวะผู้นำ” (Leadership) ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยซึ่งนับเป็นปัญหาอันใหญ่หลวง ความยากคือ “อุปาทาน” ที่เหนียวแน่นกับความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของที่ไม่ยอมจะตัด หรือปรับอะไรเลย
แค่จะยุบสาขาบางสาขายังสาหัสในมหาวิทยาลัยไทย ความเป็น “ตัวกู ของกู” และความยึดมั่นถือมั่นทำให้ยากเย็นที่มหาวิทยาลัยไทยจะปรับตัวให้ทันกับกระแสโลกเพราะความไร้วิสัยทัศน์และความกล้าหาญ
กระทรวง อว. จะทบทวนแผนกันอีกสักกี่รอบ จะปรับการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับทิศทางที่อยากเห็นอีกแค่ไหนก็ทำได้ แต่จะเอาชนะอุปาทานที่เหนียวแน่นของบรรดาคณาจารย์และผู้บริหารของมหาวิทยาลัยได้มากน้อยแค่ไหน ยังเป็นคำถามที่รอคำตอบ และเป็นคำตอบที่รอกันมานานแล้วหลายทศวรรษ







