Bad Practice ไทย กลายเป็น Good Practice มาเลเซีย

คงดูแปลกๆ ที่ผู้จัดการการตลาดของบริษัทใหญ่โต ค้าขายปีละเป็นพันล้าน ต้องไปเรียนวิชาพื้นฐานการตลาดเพื่อรับปริญญาบริหารธุรกิจ ความสามารถที่มีอยู่ในตัวแต่ละคนที่ได้มาจากการทำงาน
ไม่สามารถแปลงไปเป็นผลการเรียนรู้ของวิชาที่เล่าเรียนกันในสถาบันการศึกษาได้ แม้ว่าคนสอนเองอาจจะทำงานจริงไม่ได้ผลเท่ากับคนที่จะมาเรียน แค่คนเรียนก็ต้องถอยหลังลงมาอยู่ในกรอบของคนสอน ซึ่งอาจจะแคบกว่าโลกที่เป็นจริงมากมายนัก
ความจริงนี้เป็นที่ประจักษ์ของหน่วยงานหนึ่งในมาเลเซียที่กำกับดูแลคุณภาพของมหาวิทยาลัย ตั้งแต่เมื่อเกือบ 15 ปีมาแล้ว และเขาผสมผสานการศึกษาเข้ากับการทำงานได้อย่างกลมกลืน จนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในหลายวงการอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์
เมื่อเกือบ 20 กว่าปีมาแล้ว ทีมงานของมาเลเซียมาดูกิจการในบ้านเรา บ้านเรากำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพการศึกษาโดยกองหนึ่งที่เป็นหน่วยงานราชการ เราบอกว่าหน่วยราชการเถรตรง กำกับดูแลคุณภาพได้ดีกว่าหน่วยงานที่เป็นอิสระ
มาเลเซียดูแล้วเอาไปทำตรงข้าม คือไม่ให้หน่วยราชการมายุ่งกับมหาวิทยาลัย แต่งตั้งหน่วยงานอิสระ Malaysia Quality Agency MQA ทำหน้าที่กำกับดูแลมาตรฐานและคุณภาพการศึกษาแทน
คงเห็นชัดแล้วว่า มหาวิทยาลัยในมาเลเซียในวันนี้ไปไกลแค่ไหนแล้ว World Ranking ห่างเราไม่น้อย ไม่ได้บอกว่าเขาเก่งกว่าบ้านเราทั้งหมด แต่บอกว่าโดยภาพรวม อุดมศึกษาของเขาพัฒนาในระดับที่สูงกว่าเรามาก ที่สำคัญคืออุดมศึกษาของเขาตอบโจทย์บ้านเขาได้ดีกว่าที่เราตอบโจทย์บ้านเรา
ในขณะที่เรารณรงค์ให้การฝึกงานเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนเพื่อรับปริญญา MQA กลับเห็นว่า ทำงานก็ได้ความรู้ได้ทักษะไม่ด้อยไปกว่าการเล่าเรียน ของเราคือฝึกงาน ของเขาคือทำงานจริง ของเราคือนักศึกษา ของเขาคือพนักงาน ซึ่งคงนึกออกว่า นักศึกษา กับ พนักงานนั้น แตกต่างกันในเรื่องความคิด และความพยายามในการเรียนรู้มากแค่ไหน
MQA จึงสร้างกลไก Accreditation of Prior Experiential Learning (APEL) ขึ้นมาเมื่อประมาณ 15 ปีมาแล้ว เพื่อรับรองความรู้และทักษะที่ได้มาจากการทำงานจริง
เริ่มจาก APEL-A ที่เป็นกลไกให้คนทำงานสามารถขอเทียบความรู้ และทักษะที่ตนเองมีอยู่ เป็นคุณสมบัติในการเข้าศึกษาในระดับปริญญา แต่ไม่เหมือนการสอบเทียบ กศน. ของบ้านเรา คือไม่มีประกาศนียบัตร ม.6 มีแต่ผลงานที่แสดงให้เห็นว่ามีความรู้และทักษะเทียบเท่าคนที่จบ ม. 6 สามารถสมัครเข้าเรียนปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยได้ ถ้าผ่านการคัดเลือกก็ได้เข้าเรียนเหมือนคนที่จบ ม.6
MQA คิดเรื่องนี้เพราะยังมีคนทำงานไม่น้อยที่ไม่จบมัธยมปลาย เพราะมีความจำเป็นในชีวิต ต้องรีบไปทำงานเลี้ยงชีพ เขายอมรับว่าความรู้และทักษะเกิดขึ้นได้จากการทำงาน แต่ไม่ใช่การเทียบความรู้และทักษะแบบพอเป็นพิธี มหาวิทยาลัยใดจะเทียบความรู้และทักษะจากประสบการณ์ทำงาน ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ MQA กำหนดโดยเคร่งครัด
MQA จะมีการประเมินคุณภาพของการดำเนินการอย่างจริงจัง ก่อนที่จะขึ้นทะเบียน พร้อมทั้งประกาศให้ผู้คนได้ทราบว่า สถาบันนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก MQA ไม่เหมือนบ้านเราที่แค่ประกาศกติกาออกไป แล้วมหาวิทยาลัยใดๆ ก็ทำได้ ไม่ต้องมีการขึ้นทะเบียนกัน หรือไม่มีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดแต่ประการใด
APEL -A ไม่ได้จำกัดแค่เข้าเรียนปริญญาตรี แต่ขยายต่อเนื่องไปถึงบัณฑิตศึกษาในระยะต่อมา หลังจากใช้ความรู้และทักษะจากการทำงานเข้าเรียนได้แล้ว MQA พยายามลดภาระการเรียนซ้ำซ้อนในเรื่องที่คนทำงานรู้ดีแล้ว ทำได้ดีแล้วมาก่อนเข้าเรียน
ไม่ต้องการให้โปรแกรมเมอร์ที่เขียนโปรแกรมมูลค่านับล้านต้องไปเรียนวิชาโปรแกรมมิ่งเบื้องต้นอีกครั้ง จึงมี APEL - C เกิดขึ้น โดยยอมรับการแปลงความรู้และทักษะที่ได้จากการทำงานมาเป็นผลการเรียนในวิชาที่เกี่ยวข้องกัน
การแปลงความรู้และทักษะจากการทำงานมาเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา มีขั้นตอนการพิสูจน์ยืนยันความรู้และทักษะอย่างจริงจัง โปร่งใส และดำเนินการโดยผู้ประเมินที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น มหาวิทยาลัยใดจะทำการเทียบเรื่องนี้ ก็ต้องได้รับการทดสอบและกำกับคุณภาพโดย MQA ทำได้เฉพาะมหาวิทยาลัยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเท่านั้น
เรื่องที่มาเลเซียเขาเพิ่งคิดคือ คลังหน่วยกิต เขาแค่คิดว่าสมควรต้องมีหรือไม่? แต่บ้านเรามีงบประมาณเตรียมเดินหน้ากันแล้ว ทั้งๆ ที่การเทียบประสบการณ์ไปเป็นส่วนหนึ่งของคุณวุฒิยังล้าหลังเขามากมาย
คราวนี้ Good Practice บ้านเรา กลายเป็น Bad Practice บ้านเขา







