PISA เด็กแย่แล้ว PISA ผู้ใหญ่แย่กว่า | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

เป็นที่ทราบกันดีว่าผลการทดสอบ PISA ของนักเรียน ช่วงอายุ 15 ปี ของบ้านเรา ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมากพอสมควร เมื่อเทียบกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน เรามีคะแนน PISA ในเรื่องคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
อยู่ระหว่าง 390-410 ต่ำกว่าที่เราควรจะได้คะแนนอยู่ในช่วง 450-470 เทียบเสมือนหนึ่งว่า เด็กบ้านเราได้เรียนหนังสือน้อยกว่าที่ควรจะเรียนถึง 2 ปี
เรารู้แล้วว่าเด็กของเราเก่งมากน้อยแค่ไหน แต่เรารู้หรือไม่ว่าผู้ใหญ่ในวัยทำงานเก่งเพียงใด คำตอบมาจากงานวิจัยงานหนึ่งที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ไปจ้างทีมงานจากธนาคารโลกมาศึกษาเรื่องทักษะของคนวัยทำงาน อายุตั้งแต่ 15 ปี ถึง 65 ปี ที่มีการรวบรวมข้อมูลมาจากกลุ่มตัวอย่างเกือบหนึ่งหมื่นคนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
งานวิจัยอยากรู้ว่าคนทำงานบ้านเรามีทักษะพื้นฐานชีวิตดีมากน้อยแค่ไหน โดยประเมินจากค่าดัชนี ชื่อว่า ASAT (Adult Skills Assesment in Thailand) ซึ่งคล้ายกับที่ประเทศ OECD มีการประเมินกันมาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี
ในชื่อว่า PIAAC (Programme for the International Assessment of Adult Competencies) มีหลายประเทศที่ผลการประเมิน PIAAC นำไปสู่การดำเนินการยกระดับทักษะพื้นฐานของคนวัยทำงาน
เมื่อสหรัฐพบจากการประเมิน PIAAC ว่าผู้คนเกือบ 28% มีความสามารถในการอ่านด้อยกว่าที่ควรจะเป็น สหรัฐจึงออกกฎหมาย Workforce Innovation and Opportunity Act เพื่อยกระดับทักษะของคนทำงานกันอย่างจริงจัง
เอสโตเนีย พบจาก PIAAC ว่าคนวัยทำงานมีทักษะดิจิทัลที่ไม่เพียงพอ จึงมีโครงการพัฒนา Life Long Digital Skills Development ชิลีมี ChileValora หรือ framework for recognizing skills and competencies
น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งว่า งานวิจัยนี้เสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 2 ปี มีคนดูเว็บธนาคารโลกที่สรุปผลการวิจัยนี้ แค่ร้อยกว่าคน มีคนนับสิบเท่านั้นที่สนใจไปดูสรุปงานวิจัยนี้จากยูทูบของหน่วยงานที่ทำวิจัยเรื่องนี้ เพียงนับสิบคน งานวิจัยกลายเป็นงานขึ้นหิ้ง ไม่มีหน่วยงานใดที่มีบทบาทหน้าที่ในเรื่องนี้ มาใช้ผลการวิจัยนี้ไปดำเนินการอะไรเลย
อาจเดากันว่าผลการวิจัยน่าจะไปในทางที่ดี คนทำงานบ้านเราน่าจะมีทักษะพื้นฐานในระดับที่ดี ทำให้ไม่มีหน่วยงานใดมาใส่ใจเรื่องนี้ ความจริงตรงข้ามกับที่คาดเดากันไว้ งานนี้พบว่า
- คนในวัยทำงานบ้านเรา 6 ใน 10 คนไม่มีทักษะการอ่าน หรือ Literacy ในระดับที่ควรจะมีการทำงานและการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ตามระดับเศรษฐกิจและสังคมของบ้านเราในปัจจุบัน
- คนในวัยทำงาน 7 ใน 10 คน ไม่มีทักษะการใช้งานดิจิทัล ในระดับที่ป้องกันตนเองจากสแกมเมอร์ จนกระทั่งบ้านเรามีเหยื่อสแกมเมอร์จากแหล่งสแกมเมอร์ใหญ่ติดอันดับโลกที่อยู่ข้างบ้านเรา
- คนในวัยทำงาน 1 ใน 3 คน ไม่มีทักษะสังคมและอารมณ์ดีเพียงพอที่จะอยู่ร่วมกันโดยไม่มีความขัดแย้ง หรือการทะเลาะวิวาทที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ใช้รถใช้ถนนอย่างมีทักษะทางสังคม เคารพกฎจราจร กินตามภัตตาคาร ร้านเครื่องดื่ม โดยไม่มีเรื่องวิวาทกัน
ถ้าทำงานกับผู้คนแล้วรู้สึกว่า เขียนขั้นตอนการทำงานไปให้อ่าน แต่อ่านเสร็จแล้ว ทำตามไม่ได้ ประชุมกันอยู่ดีๆ ก็โกรธออกยักษ์ออกมาร โดยไม่มีสาเหตุอันควร ขอให้ระลึกไว้ได้เลยว่า คนรอบตัวฉันเข้าข่ายขาดทักษะพื้นฐานแน่ๆ
ถ้าเทียบกับ PISA ของเด็กอายุ 15 ปี แล้ว ASAT ของผู้ใหญ่ย่ำแย่กว่ามาก ผลกระทบเกิดขึ้นทุกวันทุกนาที ทีมธนาคารโลก บอกว่าการที่คนบ้านเรามีทักษะพื้นฐานชีวิตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจบ้านเราในยามนี้ คิดเป็นความเสียหายกว่า 3.3 ล้านล้านบาท
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะเห็นได้ชัดยิ่งกว่าการแจกเงินทอง ใครก็ตามที่ได้รับการยกระดับทักษะพื้นฐานทั้งสามด้าน มีโอกาสที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าเดือนละ 6,700 บาท
ถ้าเดาว่าคนบ้านอื่นไม่น่าจะดีกว่าเรา ให้ดูว่าคนบ้านเรา 67% ที่มี Literacy ต่ำกว่าที่ควร ในขณะที่เกาหลีและสิงคโปร์ มีคนที่มี Literacy ต่ำกว่าที่ควร เพียงแค่ 30% ญี่ปุ่นมีแค่ 10% ประเทศที่พอกับบ้านเราคืออินโดนีเซียที่มีมากถึง 69%
เรื่องใหญ่เกี่ยวกับทักษะของคนทำงาน ไม่มีใครใส่ใจ ใส่ใจแต่กับเรื่องเล็กที่ได้หน้าได้ตา







