จากหอคอยงาช้างสู่ “ประภาคารแห่งสังคม” | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

จากหอคอยงาช้างสู่ “ประภาคารแห่งสังคม” | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

มีการเสวนาระหว่างนายกสภามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศในช่วงเวลาที่บ้านเมืองเผชิญหน้าสารพัดวิกฤติที่ทางออกที่ดีดูเหมือนจะไม่มีมากนัก

ซ้ำหนักลงไปอีกด้วยการที่ผู้คนไม่น้อยกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นสาธารณะต่อหลากหลายวงการในบ้านเรา  เห็นได้ชัดจากความคิดเห็นที่ปรากฏอย่างท่วมท้นผ่านเครือข่ายสังคมที่ผู้คนบ้านเราพึ่งพาเป็นสรณะทางความคิด

นอกจากนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉมปรากฏขึ้นรอบตัว เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปไกลจนหลายคนตามไม่ทัน มีผู้เชี่ยวชาญในการพูดเทคโนโลยีมากมาย แต่เป็นแค่ปากเป็นเอก เลขเป็นโท คือพูดได้  แต่ทำไม่ได้ พูดเรื่อง AI กันมากมาย แต่คิดเชิง AI และใช้ AI กันอย่างมีประสิทธิผลไม่ค่อยจะได้  ภูมิรัฐศาสตร์ที่เดิมคนไม่ค่อยรู้จักกัน วันนี้กลายเป็นคำไวรัลในเครือข่ายสังคมไปแล้ว 

นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ ที่กำลังเขย่าโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน บ้านเรายังเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งเศรษฐกิจที่ซบเซา หนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 90% ของ GDP หนี้สินสาธารณชนเพดานที่มีอยู่ ประชากรวัยแรงงานลดลงอย่างรวดเร็วเข้าสู่สังคมสูงวัย รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่มีผลกระทบชัดเจนมากขึ้นกับชีวิต 

วงเสวนาของนายกสภามหาวิทยาลัยตั้งความหวังไว้ว่า มหาวิทยาลัยจะยังคงเป็นหนึ่งในสถาบันที่สังคมฝากความหวังได้มากที่สุด เพราะมหาวิทยาลัยไม่เพียงแต่เป็นแหล่งความรู้ หากแต่เป็นพื้นที่ที่มีคนรุ่นใหม่ ผู้ทรงคุณวุฒิและองค์ความรู้ที่สามารถเปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสได้

วงเสวนาของนายกสภามหาวิทยาลัย บอกว่าในช่วงเวลาที่สังคมกำลังสั่นคลอน มหาวิทยาลัยไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงสถานที่เรียนปริญญา แต่ต้องเป็น “พลังขับเคลื่อนสังคม” ซึ่งเคยปรากฏให้เห็นตัวอย่างมาแล้วในอดีตที่ผ่านมา  เพียงแต่บทบาทในการขับเคลื่อนสังคมเจือจางลงไปพร้อมกับวิกฤติที่สิ้นสุดแต่ละครั้ง

การก้าวขึ้นเป็นประภาคารของสังคม หมายถึง มหาวิทยาลัยต้องก้าวออกจากกรอบของ “หอคอยงาช้าง” จากเพียงแค่สอนหนังสือ ทำวิจัยขึ้นหิ้ง กลับลงไปทำงานกับชุมชน เมืองและประเทศอย่างแท้จริง ผ่านการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ การวิจัยเพื่อแก้ปัญหา

และการเป็นเวทีให้เสียงของสังคมดังขึ้น เป็นประภาคารส่องความจริงให้สังคม พร้อมกับเป็น Barking Dog เมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น ไม่เงียบสยบต่อความไม่ถูกต้องทั้งปวง คงดูแปลกที่ “สภาคณบดีไอที” ของประเทศ เงียบสงบในยามที่มีโครงการไอทีของรัฐที่แพงเกินจริง

ถ้าอยากให้บ้านเมืองหลุดพ้นวิกฤติไปได้อย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยไม่เพียงผลิตแรงงานที่ตรงตามความต้องการตลาด แต่ต้องสร้างคนที่ “เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” มีคุณธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม

และมีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ทั้งด้านดิจิทัล การคิดเชิงวิพากษ์ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น แผ่นดินไหวครั้งใด บัณฑิตต้องเป็นที่พึ่งพาของคนรอบตัวได้ ไม่ใช่คนที่เพิ่มความตื่นตระหนกให้คนรอบตัว เป็นบัณฑิตที่คิดได้ในบริบทโลก ไม่ใช่แค่คิดตามแชต ตามไลฟ์ ตามยูทูบ

ท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ความยั่งยืนของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ยังคงขึ้นอยู่กับการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถทั้งในและต่างประเทศเอาไว้ให้ได้ มหาวิทยาลัยต้องมีกลยุทธ์ที่สามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรชั้นนำทั้งในประเทศและจากต่างประเทศไว้ให้ได้

ทุกประเทศที่ก้าวข้ามไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง ล้วนแต่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้ โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งรวมคนเก่ง  ขณะเดียวกันต้องมีบทบาทในการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยให้มีทักษะใหม่ ๆ ให้เท่าทันกับการพัฒนาของโลก นอกเหนือจากปริญญาที่คุ้นเคยกันมาเป็นร้อยปี

วันนี้โลกที่ก้าวหน้ากำลังพัฒนาคนผ่านระบบ Micro-Credentials  เรียนแล้วคิดได้ทำเป็น ทำแล้วเกิดผลจริง  มีหลักฐาน Credential Wallet ยืนยันความสามารถที่ยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกันได้ทั่วโลก 

โลกยุควิกฤติไม่เปิดโอกาสให้ทำงานแบบไซโล ต่างคณะต่างทำ  มหาวิทยาลัยต้องจับมือกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาหลักสูตรและงานวิจัยที่ตอบโจทย์ จะรวยแค่ไหนก็เป็นคุณหนูเล่าเรียนอย่างเดียวไม่ได้แล้วในวันนี้  เรียนไปทำงานจริงไปพร้อมกัน  ชุมชน สังคม ธุรกิจ อุตสาหกรรมเป็นห้องเรียนที่แท้จริงของมหาวิทยาลัยในยุควิกฤตินี้

มหาวิทยาลัยยังมีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นชุมชนของผู้รู้ ที่พร้อมจะร่วมกับภาครัฐสร้างนโยบายสาธารณะที่มุ่งผลลัพธ์จริง หากบ้านเมืองมีภาครัฐที่ใจกว้างเพียงพอ

จะไปรอดได้ท่ามกลางวิกฤติสารพัดนั้น ความยืดหยุ่นของภาคส่วนต่างๆ ของบ้านเมืองเป็นสิ่งจำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะขยับปรับเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ต้องมีความรู้ว่าไปทางไหน ไปอย่างไร ถึงจะรอดได้

ไม่ใช่ลองผิดลองถูกเหมือนการตีเส้นจราจรบนถนนบ้านเรา เดิมมีสองช่อง รถวิ่งของทางกันมากขึ้นก็ตีเพิ่มเป็นสี่ช่อง โดยไม่มีหลักความรู้ใดๆ มายืนยันว่าเพิ่มช่องแล้วจะปลอดภัย 

มหาวิทยาลัยจึงต้องเป็นเครือข่ายความรู้สำหรับสนับสนุนการสร้างความยืดหยุ่นให้กับภาคส่วนต่างๆ ของบ้านเมือง ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องเป็นแกนกลางของเครือข่ายความรู้ ทั้งในระดับประเทศและอาเซียน ใช้ข้อมูล วิจัยและนวัตกรรมเป็นพลังในการสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม 

มหาวิทยาลัยควรทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางข้อมูลและองค์ความรู้ของชาติ โดยรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูล จากหน่วยงานภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อสร้างแพลตฟอร์มความรู้สาธารณะ (Open Knowledge Platform) ที่ให้ประชาชน ภาคธุรกิจและหน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลและงานวิจัยได้สะดวก

ประเทศจะมีฐานความรู้กลางที่สังคมเข้าถึงได้ ช่วยลดการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ขาดข้อมูล ช่วยให้สังคมไทยมีภูมิคุ้มกัน (resilience) รับมือวิกฤติเศรษฐกิจ โรคระบาด หรือสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น

มหาวิทยาลัยพลิกโฉมเป็นประภาคารสังคมได้แน่ๆ  เพียงแต่ว่าคนใหญ่คนโตยอมให้เป็นหรือไม่?