สิ่ง ‘ชั่วร้าย’ ในชั้นเรียน | อาหารสมอง

สิ่ง ‘ชั่วร้าย’ ในชั้นเรียน | อาหารสมอง

โทรศัพท์มือถือที่เด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นใช้กันทุกวันโดยเฉพาะในชั้นเรียนอย่าคิดว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ มันสามารถทำลายการเรียนรู้ได้อย่างฉกรรจ์ปัจจุบันมีการเคลื่อนไหวทั่วโลก

ที่จะห้ามหรือจำกัดการใช้ในห้องเรียนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อย่างไรก็ดีในบ้านเรายังไม่มีกฎเกณฑ์จากภาครัฐที่จัดการในเรื่องนี้อย่างชัดเจน หลายโรงเรียนโดยเฉพาะเอกชนต่างดำเนินการในเรื่องนี้มานานพอควรแล้ว แต่โรงเรียนของรัฐซึ่งเป็นแหล่งศึกษาของนักเรียนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญ

เป็นที่ทราบกันดีว่าในหลายโรงเรียนมากทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด การใช้มือถือรับส่งข้อความหรือมีปฏิสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดียหรือเล่นเกมไปด้วยขณะอยู่ในชั้นเรียนเป็นเรื่องปกติที่เห็นกันทั่วไป การให้ความสนใจเต็มที่แก่กระบวนการเรียนรู้ที่ครูกำลังสร้างขึ้นสำคัญยิ่งในปัจจุบันเพราะ 

(1) การสูญหายของการเรียนรู้ (learning loss) ระหว่างโควิด 19 เป็นเวลากว่า 3 ปี ทำให้เกิดการเรียนแบบ ตก ๆ หล่น ๆ ทั้งออนไซต์และออนไลน์ ทำให้เด็กทั่วไป “อ่อน” ไปมากในเรื่องความรู้

นักเรียนจำนวนมากเรียนรู้อย่างสุก ๆ ดิบ ๆ หากในปัจจุบันไม่ตั้งใจเรียนกันเต็มที่แล้ว การไล่เรียนรู้ให้ทันในปัจจุบันก็จะยากยิ่งขึ้น

(2) การเรียนรู้ในปัจจุบันจำเป็นต้องมีการมีส่วนร่วมของนักเรียน เพราะระบบปัจจุบันไม่ใช่การสอนแบบเดิม หากเป็นการเรียนรู้ (“teach less and learn more“ คือสอนให้น้อยลงและให้เรียนรู้มากขึ้น)

โดยนักเรียนมีส่วนร่วมในการตั้งคำถาม ร่วมคิด ร่วมตอบ (ที่เรียกว่า active learning) หากมีการฟังและมีความสนใจน้อยลงเพราะมัวสนุกกับสมาร์ตโฟนแล้ว ระบบการเรียนรู้ที่ทันสมัยนี้จะเกิดขึ้นได้ยาก

(3) นิสัยไม่จริงจังและไม่รักการเรียนรู้ ก็ฟักตัวมาจากสภาวการณ์เช่นนี้ จนเคยตัวและติดตัวไปตลอด การเรียนรู้จากชั้นเรียนซึ่งเป็นเรื่องสำคัญยิ่งจะไปได้ดีอย่างไรหากนักเรียนไม่ให้ความสนใจดังเช่นที่ควรเป็น

(4) เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ตั้งใจเรียนถูกกระทบอย่างไม่เป็นธรรมจากความสนุกจากมือถือ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวบนจอและอาจมีเสียงประกอบด้วยจากเพื่อนข้างๆ

(5) ทำให้นักเรียน “ว่อกแว่ก” ขาดการตั้งใจเรียน โดยมือถือดึงดูดความสนใจให้ออกไปนอกห้องเรียน การขาดโฟกัสเช่นนี้ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

โทรศัพท์มือถือในชั้นเรียนหากมีการใช้อย่างจริงจังในการสร้างการเรียนรู้ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ หากแต่ในโลกความเป็นจริงแล้วส่วนใหญ่สร้างผลเสียมากกว่าผลดี ในต่างประเทศก็เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้

จึงมีการเคลื่อนไหวในระดับโลก ในปี 2567 UNESCO ระบุว่าจากข้อมูลทั่วโลก 79 ระบบการศึกษา (หรือประเทศ) คิดเป็น 40% มีนโยบายห้ามใช้มือถือในโรงเรียนซึ่งเพิ่มจาก 60 ประเทศ (30%) ในปี 2567

ข้อมูลจากทั่วโลกในการจำกัดการใช้สมาร์ตโฟนในโรงเรียน และ/หรือ ชั้นเรียนมี ดังนี้ (1) ในปี 2561 ฝรั่งเศสห้ามเด็กอายุ 3 ถึง 15 ปีใช้สมาร์ตโฟนในบริเวณโรงเรียนอย่างเด็ดขาดไม่ว่าเวลาใดก็ตาม (2) อิตาลี ในปี 2566 ห้ามใช้ในชั้นเรียนเด็ดขาด

(3) อังกฤษ ในปี 2565 ออกแนวปฏิบัติอย่างเข้มข้นให้ครูใหญ่มีอำนาจในการห้ามใช้มือถือในโรงเรียนทั้งวันแม้แต่ตอนพัก และหลายโรงเรียนในอังกฤษปฏิบัติตามกฎนี้ 

(4) เนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่มกราคม 2567 ห้ามใช้แท็บเล็ตและสมาร์ตโฟนในห้องเรียน (5) ออสเตรเลีย ในหลายรัฐห้ามใช้สมาร์ตโฟนในโรงเรียน รัฐวิกตอเรียบังคับให้ปิดสวิตช์และใส่ไว้ใน ล็อกเกอร์ ตั้งแต่ชั่วโมงแรกจนเลิกเรียน (6) สหรัฐอเมริกาและแคนาดาห้ามใช้ในชั้นเรียนเป็นรัฐๆ ไป และมีรัฐจำนวนมากที่ห้าม

(7) จีน ตั้งแต่ปี 2564 ห้ามนักเรียนใช้มือถือในโรงเรียนถ้าไม่มีเอกสารยินยอมจากผู้ปกครอง (8) มาเลเซีย ห้ามพกสมาร์ตโฟนไปโรงเรียน

(9) เกาหลีใต้ ตั้งแต่มีนาคม 2569 เป็นต้นไป ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในห้องเรียนทั่วประเทศ (10) สิงคโปร์ ไม่มีการห้ามทั่วประเทศ หากมีแนวปฏิบัติให้โรงเรียนจำกัดเวลาการใช้ ออกกฎเกณฑ์เองโดยคำนึงถึงความเหมาะสมต่อนักเรียน และออกแนวปฏิบัติเกี่ยวกับเวลาใช้หน้าจอสำหรับเด็ก 7-12 ปี

(11) อินโดนีเซีย ในบางพื้นที่ ของเกาะชวาตะวันตกห้ามนักเรียนประถม-มัธยมพกมือถือไปโรงเรียน นับตั้งแต่ต้นปี 2568

ออสเตรเลีย กำลังเคลื่อนไหวให้การห้ามใช้สมาร์ตโฟนในโรงเรียนทั้งประเทศ ทันทีที่ถึงโรงเรียน นักเรียนทุกคนต้องปิดสวิตช์อุปกรณ์ไอทีทุกอย่างโดยโรงเรียนเก็บไว้ให้จนกว่าโรงเรียนเลิก (วิธีนี้โรงเรียนนานาชาติในไทยหลายโรงเรียนเอกชนและของรัฐกระทำแบบเดียวกัน)

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลได้ออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้บางแพลตฟอร์มในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ปลายปี 2568

ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวอย่างจริงจังในระดับโลกสู่การควบคุมการใช้มือถือในห้องเรียนและโรงเรียน ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่บ้านเราต้องมีกฎเกณฑ์ในการควบคุมการใช้มือถือในห้องเรียน

มีนักเรียนชั้นมัธยมในโรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งเล่าว่าระหว่างที่ครูสอนเขาจะมีอุปกรณ์สามชิ้นใช้คู่ไปด้วยคือ แท็บเล็ต

สำหรับตามการสอนของครู (หากสอนผ่านรูปแบบของไอที) มือถืออันหนึ่งใช้ติดตามโซเชียลมีเดียและรับส่งข้อความกับเพื่อน ส่วนมือถืออีกอันไว้สำหรับเล่นเกม เขาบอกว่าเพื่อน ๆ เขาก็ทำแบบเดียวกัน เขายืนยันว่าสามารถทำทั้งสามอย่างได้ในเวลาเดียวกัน !

ความเสียหายจากการปล่อยเสรีในการใช้มือถือในห้องเรียนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและเกิดผลเสียในระยะยาว ครูน้อยทั้งหลายก็รู้ว่าไม่เป็นคุณต่อเด็กแต่ก็ปล่อยให้เป็นไปโดยคิดว่าแล้วแต่บุญแต่กรรมของเด็ก ไม่อยากขัดใจให้เป็นปัญหาขึ้นมา

ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ปล่อยเพราะไม่อยากมีปัญหากับผู้ปกครองบางส่วนที่อยู่ข้างลูกเสมอ (ผู้มองเห็นแค่ปลายจมูกของตนเอง) และ “หน่วยเหนือ” ก็ไม่มีนโยบายลงมาจึงปล่อยมันไป 

คนรับกรรมก็คือเด็กที่สนุกในวันนี้โดยไม่รู้ว่าจะเกิดทุกข์ในวันหน้า และคนไทยผู้เสียภาษีทั้งหลายที่จะมีทรัพยากรของชาติผู้มีคุณภาพกะพร่องกะแพร่ง