ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

สำหรับประเทศไทยที่กำลังเผชิญปรากฏการณ์เดียวกับที่ญี่ปุ่น นั่นคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ที่นำไปสู่การพึ่งพาแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น ภาคอุตสาหกรรมการผลิต การเกษตร หรือบริการ แรงงานเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจและถูกยอมรับในเชิงการจ้างงาน แต่หลายคนไม่ได้มาเพียงตัวคนเดียว หากแต่มีครอบครัวซึ่งรวมถึงบุตรหลานติดสอยห้อยตามมาด้วย 

เด็กๆ เหล่านี้ต้องต่อสู้เพื่อเข้าถึง “โอกาสทางการศึกษา” ภายใต้ระบบที่ยังยึดติดกับวาทกรรมเรื่องชาติพันธุ์เดียว ภาษาเดียว และวัฒนธรรมเดียว

บทเรียนจากญี่ปุ่นจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่เป็นเสมือน “กระจกสะท้อนอนาคต” ของไทยที่กำลังส่งสัญญาณให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับความหลากหลายอย่างเป็นระบบที่มองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

ญี่ปุ่นที่เป็นหนึ่งในดินแดนที่กำลังเผชิญภาวะ “โลกคู่ขนานของการเรียนรู้” ในห้องเรียน นั้นคือการอยู่ร่วมกันของความแตกต่างในพื้นที่เดียวกัน แม้จะนั่งอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน ใช้โต๊ะตัวเดียวกันและฟังเสียงครูบรรยายเนื้อหาคนเดียวกัน แต่สำหรับเด็กต่างสัญชาติ โลกของพวกเขากลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเพื่อนร่วมชั้นชาวญี่ปุ่น 

กล่าวคือ ขณะที่เด็กญี่ปุ่นโต้ตอบบทเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยความคล่องแคล่ว เด็กต่างสัญชาติต้องต่อสู้กับการอ่านหรือฟังภาษาที่ไม่คุ้นเคยซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำศัพท์ที่แปลออกบ้างไม่ออกบ้าง และความไม่มั่นใจว่าเข้าใจตรงกับที่ครูสอนหรือไม่

เมื่อเผชิญกำแพงภาษาและวัฒนธรรม ที่กั้นเด็กเหล่านี้ออกจากโอกาสในการเรียนรู้ที่เท่าเทียม นี่จึงไม่ใช่แค่ปัญหาเชิงการศึกษา แต่กำลังกลายเป็นโจทย์สำคัญทางสังคมที่ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่นจำเป็นต้องรับมืออย่างเร่งด่วน

เมื่อจำนวนเด็กต่างสัญชาติเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบการศึกษาของญี่ปุ่นที่เคยวางอยู่บนสมมติฐานของความเป็นเนื้อเดียวกันทางวัฒนธรรมก็เริ่มเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนจากความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร โดยเฉพาะการหลั่งไหลของแรงงานข้ามชาติและครอบครัวของพวกเขา

ดังนั้น เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงนี้ ญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายด้านการศึกษาที่ครอบคลุมมากขึ้น สภานิติบัญญัติแห่งชาติญี่ปุ่นรับรองสิทธิในการส่งบุตรหลานที่เป็นเด็กต่างสัญชาติอายุระหว่าง 6-15 ปี เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

ขณะที่คณะกรรมการการศึกษาของแต่ละเทศบาลดำเนินการเชิงพื้นที่ ทั้งการประชาสัมพันธ์เชิงรุก การเข้าถึงครอบครัวชาวต่างชาติ และการรับสมัครนักเรียนต่างสัญชาติในพื้นที่อย่างครอบคลุม

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติเด็กต่างสัญชาติที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นประชากรของแต่ละท้องถิ่น ยังคงเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสิทธิทางการศึกษา

หน่วยงานท้องถิ่นญี่ปุ่นบางแห่งจึงต้องคิดหาแนวทางที่ยืดหยุ่นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ อย่างเขตชิบูยะในกรุงโตเกียว ที่ยอมให้ใช้สัญญาเช่าที่พักเป็นหลักฐานประกอบการสมัครเรียนแทนเอกสารยืนยันสถานะประชากรอย่างเป็นทางการ เป็นต้น

แนวทางการบริหารจัดการดังกล่าว ในภาพรวมจะดูเปิดกว้างมากขึ้น แต่เมื่อเจาะลึกลงในระดับการปฏิบัติจริง ยังพบช่องว่างในประเด็นเรื่อง “กำแพงภาษา” ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อคุณภาพชีวิตและโอกาสทางการศึกษาของเด็กต่างสัญชาติ แม้ทางกระทรวงฯ จะประกาศเมื่อปี 2562 ให้ทุกโรงเรียนจัดการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักเรียนต่างสัญชาติ

ทว่าในทางปฏิบัติกลับยังขาดแคลนบุคลากรที่สามารถสื่อสารทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษได้ รวมถึงยังขาดการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กต่างสัญชาติในกิจกรรมของโรงเรียนเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณค่า ไม่ใช่แค่เป็น “ผู้ตามในระบบ”

ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

นอกจากนี้ โรงเรียนบางแห่งยังจัดกลุ่มเด็กต่างสัญชาติที่ยังไม่สามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นได้คล่อง ให้เรียนร่วมกับเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าในห้องเรียนพิเศษ ทั้งที่ในความเป็นจริง เด็กเหล่านี้ไม่ได้มีข้อจำกัดทางด้านพัฒนาการแต่อย่างใด หากแต่ต้องการเวลาปรับตัวด้านภาษาเท่านั้น 

นักวิจัยด้านการศึกษาอย่างมิยูกิ โทริอิ (Miyuki Torii) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า แนวทางดังกล่าวสะท้อนความคลาดเคลื่อนของระบบการประเมิน ซึ่งไม่ได้แยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างปัญหาด้านภาษากับความต้องการพิเศษด้านพัฒนาการ

ความคลาดเคลื่อนเช่นนี้ไม่เพียงกระทบต่อความมั่นใจและคุณค่าในตนเอง แต่ยังลดทอนโอกาสในการมีส่วนร่วมกับเพื่อนในห้องเรียนหลัก ที่อาจนำไปสู่การแยกตัวจากระบบการศึกษาในที่สุด

จากข้อมูลปี 2565 ระบุว่า มีเด็กต่างสัญชาติในญี่ปุ่นหลุดจากระบบการศึกษามากถึง 8,183 คน จากทั้งหมด 136,923 คน

ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงข้อมูลเชิงสถิติทางการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ในระบบการศึกษาของประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีมาตรฐานสูงอันดับต้นๆ ของโลก

ท่ามกลางข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่กล่าว เทศบาลหลายแห่งของญี่ปุ่นได้ลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหาด้วยการพัฒนารูปแบบการศึกษาที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของชุมชนมากยิ่งขึ้น

ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เทศบาลนครมาเอบาชิ จังหวัดกุมมะ ที่มีเด็กต่างสัญชาติอย่างน้อย 259 คน ได้ปรับหลักสูตรภาษาญี่ปุ่นให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับชีวิตจริง โดยการผสมผสานการเรียนภาษาญี่ปุ่นกับการแนะแนวการใช้ชีวิตในสังคมญี่ปุ่นเข้าไว้ด้วยกัน

การดำเนินงานดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากแนวคิดการรวมกลุ่มเพื่อปรับตัว (assimilation) ที่เน้นการให้ผู้มาใหม่หลอมรวมเข้าสู่สังคมส่วนใหญ่ และนำไปสู่แนวคิดการอยู่ร่วมอย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน (integration) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างแท้จริง นั่นคือเป็นพื้นที่ของความหลากหลาย ยอมรับความแตกต่าง และไม่ผลักใครออกไป

ทั้งหมดนี้ไม่เพียงเป็นแนวทางในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กต่างสัญชาติในญี่ปุ่นเท่านั้น หากแต่ยังเป็นบทเรียนอันมีค่าสำหรับประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่บริบทของสังคมพหุวัฒนธรรมมากขึ้น

ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

บทเรียนจากญี่ปุ่นสะท้อนให้เห็นว่า การศึกษาไม่ใช่เพียงการส่งเด็กเข้าโรงเรียน แต่คือการสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เอื้อให้ทุกคนรู้สึกว่า “ที่นี่คือบ้าน”

สำหรับประเทศไทย ข้อมูล พ.ศ. 2567 ระบุว่า มีแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานอย่างถูกกฎหมายมากกว่า 3.28 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศในกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม

สะท้อนถึงแนวโน้มการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางบริบทของอัตราการเกิดที่ลดลงและสังคมสูงวัยที่กำลังกระทบต่อโครงสร้างแรงงานของประเทศ

ดังนั้น การเตรียมความพร้อมเชิงระบบตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คือหัวใจสำคัญในการสร้างระบบการศึกษาที่ออกแบบมาเพื่ออยู่ร่วมกับความแตกต่าง ไม่ใช่เพียงแค่รองรับ แต่เพื่อเคารพ และส่งเสริมให้ทุกคนเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพในพื้นที่เดียวกัน

การมีนโยบายเปิดรับเด็กต่างชาติให้เข้าเรียนในระบบอย่างเท่าเทียม แม้เป็นก้าวสำคัญที่น่ายินดีแต่ก็ยังไม่เพียงพอ หากขาดระบบสนับสนุนด้านภาษา วัฒนธรรม และช่องทางให้เด็กเหล่านี้ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของโรงเรียนอย่างเสมอภาค 

ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

เพราะการเข้าถึงห้องเรียนอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การอยู่ร่วมอย่างมีคุณภาพคือหัวใจของความเสมอภาคทางการศึกษาที่แท้จริง เป็นสัญญาณที่ดีที่ประเทศไทยก็เริ่มมีแนวปฏิบัติในด้านการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา และสถานะทางเศรษฐกิจ

ผ่านการดำเนินงานของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งได้ร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนแบบมีส่วนร่วม (ABE Model) เปิดโอกาสให้โรงเรียน ครอบครัว และชุมชนได้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

โดยโครงการนำร่องอยู่ในพื้นที่จังหวัดพะเยา กำแพงเพชร และปัตตานี แสดงให้เห็นว่าการสร้างกลไกแบบมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่ช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม

โดยเฉพาะในบริบทของพื้นที่ชายขอบ พื้นที่ชนบท หรือชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งเด็กจำนวนมากต้องเผชิญอุปสรรคทางภาษาและสภาพแวดล้อมทางสังคมที่แตกต่าง

โมเดล ABE ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเหลือนักเรียนรายกรณีเท่านั้น หากแต่เป็นกลไกที่เชื่อมโยงนโยบายระดับชาติสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ ผ่านความร่วมมือระหว่างโรงเรียน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบครัว และภาคประชาสังคม

ญี่ปุ่น กับภารกิจลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แก่เด็กต่างสัญชาติ

จุดแข็งของโมเดลนี้อยู่ที่การมองความเสมอภาคทางการศึกษาในเชิงระบบ ไม่ใช่แค่การให้ทุน แต่รวมถึงการติดตามนักเรียนอย่างต่อเนื่อง การเสริมศักยภาพครูให้ดูแลรายกรณีได้อย่างเหมาะสม และการสร้างเครือข่ายชุมชนเพื่อป้องกันเด็กหลุดจากระบบ

แนวทางดังกล่าวสะท้อนวิธีคิดที่ยอมรับความหลากหลายของผู้เรียนในทุกมิติ และให้พื้นที่แก่ท้องถิ่นในการมีบทบาทเป็นผู้ออกแบบระบบการดูแลเด็กอย่างแท้จริง

อันเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาการศึกษา ภายใต้บริบทสังคมพหุวัฒนธรรมของไทย เพราะท้ายที่สุดแล้วการศึกษาที่ดี คือการไม่ปล่อยให้ใครต้องเดินคนเดียว

ดังนั้น การส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างแท้จริง ต้องเริ่มต้นจากการยอมรับและให้คุณค่ากับความแตกต่างอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านนโยบายที่เปิดรับ พร้อมระบบสนับสนุนที่เชื่อมโยงอย่างยืดหยุ่นทั้งในระดับพื้นที่และระดับชาติ.