ก้าวก่ายและ สับสน สภาวิชาชีพกับปริญญายุคใหม่ | บวร ปภัสราทร

ปริญญาในสาขาที่มีสภาวิชาชีพ ถ้าเรียนผิดที่ผิดทางอาจได้แค่ปริญญา แต่ไม่ได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ มหาวิทยาลัยจะเปิดสอนปริญญาเหล่านี้ หลักสูตรก็ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรอุดมศึกษา
ปริญญาในสาขาที่มีสภาวิชาชีพ ถ้าเรียนผิดที่ผิดทางอาจได้แค่ปริญญา แต่ไม่ได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
มหาวิทยาลัยจะเปิดสอนปริญญาเหล่านี้ หลักสูตรก็ต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรอุดมศึกษา ที่กำหนดว่าต้องเรียนกันสักกี่หน่วยกิตถึงจะได้ปริญญา หนึ่งหน่วยกิตจะนับจากเวลาสอน เวลาฝึกปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน
อาจารย์ที่สอนต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันต้องมีวิชาตามที่สภาวิชาชีพกำหนด ต้องมีชุดฝึกทักษะ มีชุดทดลอง ตามที่กำหนด อาจารย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
มีความสับสนเกิดขึ้นเป็นประจำระหว่าง “เกณฑ์อุดมศึกษา” กับ “วิชาที่ต้องเรียนตามสภาวิชาชีพ” ทำตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรแล้ว ยังต้องเติมวิชาตามที่สภาวิชาชีพกำหนดไว้ขึ้นอีก
เติมไปแล้วจำนวนหน่วยกิตก็เกินกว่าที่เกณฑ์อุดมศึกษากำหนด เรียนปริญญาตรีแทนที่จะเป็นแค่ 120 หน่วยกิต กลายเป็นเกือบ 140 หน่วยกิต
เกณฑ์อุดมศึกษายังกำหนดไว้อีกว่า หลักสูตรต้องรวบรวมความเห็นจากนายจ้างมาว่า เขาอยากได้บัณฑิตที่ต้องมีความรู้ มีทักษะ มีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง แล้วค่อยมากำหนดว่าจะต้องเล่าเรียนวิชาอะไรบ้าง ต้องมีชุดฝึกทักษะแบบไหนบ้าง
พอสภาวิชาชีพมาสั่งว่า ต้องเรียนวิชานั้นไม่น้อยกว่ากี่หน่วยกิต เรียนวิชานี้อีกกี่หน่วยกิต จะเรียนวิชานี้ต้องเรียนวิชานั้นมาก่อน ทำให้ต้องไปเรียนอีกหลายวิชาที่ตอบไม่ได้ว่าวิชานี้มาจากความต้องใดของนายจ้างไหน
หลักสูตรปริญญาที่มีสภาวิชาชีพเลยเป็นหลักสูตรที่มีเรื่องราวมากกว่าหลักสูตรปริญญาทั่วไป แม้จะไปเขียนไว้ในกฎหมายสูงสุดของประเทศห้ามไม่ให้สภาวิชาชีพมาก้าวก่ายการกำหนดรายละเอียดหลักสูตรเพื่อรับปริญญา
สภาวิชาชีพเองก็ไปกำหนดในกฎหมายตนเองว่า ใครจะมาขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของฉัน จะต้องได้ปริญญามาจากหลักสูตรที่ฉันให้การรับรอง ซึ่งก็คือไปกำหนดจนได้ว่าจะต้องเรียนวิชาอะไรบ้าง
สององค์กร องค์กรหนึ่งดูมาตรฐานปริญญา อีกองค์กรหนึ่งกำหนดวิชาเรียน ความสับสนเกิดขึ้นแน่ๆ
การที่สภาวิชาชีพกำหนดวิชาเรียนในหลักสูตรปริญญา สร้างปัญหากับความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนวิชาให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
ถ้าเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานอุดมศึกษา จะต้องมีการติดตามปรับปรุงเนื้อหาวิชาให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เกณฑ์ไม่มีการกำหนดวิชา กำหนดเพียงว่าเรียนจบแล้วต้องรู้อะไร ต้องมีทักษะอะไรบ้าง ส่วนวิชาจะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่จะกำหนดขึ้นเอง จะเรียนเรื่องใดมากน้อยแค่ไหน ก็ไปกำหนดกันเอง
ขอแค่ให้เกิดผลลัพธ์จากการเรียนรู้ได้ตรงตามที่ได้กำหนดไว้ ที่สำคัญคือผลลัพธ์จากการเรียนรู้เหล่านั้นมีที่มาจากนายจ้าง หรือผู้ใช้บัณฑิต ไม่ได้นึกขึ้นมาเอง
การร่วมกันออกแบบหลักสูตรปริญญาระหว่างสถาบันการศึกษา กับสภาวิชาชีพ โดยคำนึงถึงความต้องการและความคาดหวังของผู้ใช้บัณฑิต มีความจำเป็นอย่างยิ่งในวันนี้
ถ้าต้องการให้ประเทศมีบัณฑิตวิชาชีพที่ทำงานได้ตรงตามความต้องการของวงการวิชาชีพนั้น ที่จะช่วยลดช่องว่างความแตกต่างระหว่างความรู้ที่ได้เรียน กับที่ต้องการในการทำงานจริง
หลายประเทศขับเคลื่อนหลักสูตรมหาวิทยาลัยไปในแนวทางนี้ จนประสบความสำเร็จในการยกระดับความสามารถของบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของธุรกิจ และอุตสาหกรรม ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าในประเทศหลายประการ
การออกแบบหลักสูตรร่วมกันจะมีประโยชน์มากยิ่งขึ้น ถ้าร่วมกันกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ ที่วงการวิชาชีพนั้น ที่นายจ้างในวิชาชีพนั้น เห็นร่วมกันว่าบัณฑิตวิชาชีพนั้น ต้องรู้เรื่องนี้ ต้องมีทักษะนี้ และมีคุณลักษณะแบบนี้ เพื่อให้วิชาชีพประสบความสำเร็จ และสร้างก้าวหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง
สภาวิชาชีพในบริบทปัจจุบัน ไม่ควรมากำหนดวิชาที่ต้องเรียน ไม่ควรมากำหนดจำนวนหน่วยกิตสำหรับวิชาเหล่านั้น ถ้าอยากได้ปริญญาสมัยใหม่ สภาวิชาชีพควรกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ครอบคลุมความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะบุคคลที่ต้องการจากผู้สำเร็จการศึกษา
แล้วปล่อยให้สถาบันการศึกษา ไปพัฒนารายวิชาที่เล่าเรียนแล้วจะเกิดเป็นผลลัพธ์การเรียนรู้ตามที่สภาวิชาชีพกำหนด อาจแค่บอกว่าต้องผ่านการฝึกงานทักษะใดมาอย่างไร มีผลงานอะไรบ้าง
เปลี่ยนจากการตรวจประเมินการเรียนการสอนวิชาที่กำหนดไว้อย่างตายตัว มาเป็นการตรวจประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ตรวจประเมินจากผลงานจริง ไม่ใช่จากเอกสารรายวิชา
สภาวิชาชีพยุคใหม่กำหนดสมรรถนะที่ต้องการ สถาบันการศึกษาผลิตคนที่มีความรู้ ทักษะ และตัวตนให้ตรงตามที่วงการวิชาชีพต้องการ แทนที่จะมาทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน.







