นักวิชาการ มธ. เตือน ทุน ODOS ไม่ควรจำกัดแค่สาย วิทย์-คณิต

นักวิชาการ มธ. เตือน ทุน ODOS ไม่ควรจำกัดแค่สาย วิทย์-คณิต

นักวิชาการ มธ.ชี้โครงการให้ทุน ODOS ไม่ควรจำกัดให้เรียนต่อเฉพาะ STEM ควรเป็นสหวิชา ตอบโจทย์ ปท. เสนอหน่วยงานให้ทุนร่วมออกแบบกระบวนการดูแล นร.ทุน ครบวงจร

หน่วยงานไม่บูรณาการ-ทำแผนการให้ทุนร่วมกันจึงไร้ทิศทาง เตือนอย่าให้แต่เงินแล้วปล่อยเด็กไปตายเอาดาบหน้า พบจำนวนไม่น้อยจบชีวิตในต่างแดน

แนะจัดทำระบบเตรียมความพร้อมก่อนไป ตปท. - กลับมามีระบบงานรอบรับ พร้อมติดตามประเมินผล เด็กเรียนยากจนเรียนไม่เก่งก็ควรได้รับโอกาส

จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (ODOS) โดยอนุมัติงบประมาณ วงเงิน 4,500 ล้านบาท ครอบคลุมจำนวนทุน 7,200 ทุน

ให้กับเด็กที่มีผลการเรียนและความประพฤติดี ได้ไปศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือระดับ ปวช. ต่อเนื่องจนถึงระดับปริญญาตรี ทั้งภายในและต่างประเทศ ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) จำนวน 4,800 คน

ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนเป็นสิ่งที่ดี ควรได้รับการสนับสนุน

ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งตัวของนักเรียนผู้ที่ได้รับทุนและประเทศจึงจำเป็นต้องทำอย่างรอบคอบ มององค์ประกอบและปัจจัยทั้งระบบเพื่อจะได้ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นักวิชาการ มธ. เตือน ทุน ODOS ไม่ควรจำกัดแค่สาย วิทย์-คณิต

ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมการโครงการฯ บางท่านที่ได้ตั้งข้อสังเกตว่าควรจะให้ทุนเป็นสหวิชา ครอบคลุมองค์ความรู้แขนงต่างๆ มากกว่าการกำหนดให้เฉพาะ STEM เพียงอย่างเดียว

เพราะหลายอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมด้านเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรม Soft Power ต้องใช้ทักษะที่หลากหลายมากกว่าด้าน STEM

ประกอบกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ก็มีความแตกต่างกัน และเด็กยากจนยังมีข้อจำกัดในเรื่องโอกาสการศึกษาในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนด้าน STEM

ผศ.ดร.อดิศร กล่าวอีกว่า ปัญหาการให้ทุนการศึกษาในประเทศไทยคือแต่ละหน่วยงานแยกกันทำ ทั้งที่การวางแผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เหมาะสม ควรมีการทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดกรอบทิศทางเป้าหมายว่าอะไรคือสิ่งที่ประเทศต้องการในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้า

จากนั้นจึงร่วมกันออกแบบกระบวนการให้ทุนให้ครบวงจรทั้งระบบนิเวศ (Ecosystem) ตั้งแต่ต้นน้ำ คือการรับสมัคร และการเตรียมความพร้อม กลางน้ำ คือการให้ทุน และดูแลในระหว่างการศึกษา และปลายน้ำ คือมีระบบการทำงานรองรับหลังเรียนจบ

 

ที่ผ่านมาพบว่า มีเด็กจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถปรับตัวอยู่ในวัฒนธรรมต่างแดนได้ จนนำไปสู่การยุติการศึกษากลางคัน หรือเลวร้ายกว่านั้นคือ การเลือกจบชีวิตตนเองในต่างแดน และลาออกกลางคัน เพราะต้องเผชิญกับเหงา และรู้สึกต่อสู้อยู่ลำพัง

นั่นสะท้อนว่า กระบวนการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กนักเรียนเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ขณะเดียวกันเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว รัฐจำเป็นต้องจัดระบบรองรับเรื่องการทำงานด้วย

แม้ว่าจะมีสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ทำหน้าที่นี้อยู่บ้าง แต่คงมีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการทำงานสายเอกชนมากกว่าราชการ

และนักเรียนที่เดินทางไปอยู่ต่างประเทศหลายปี เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาแล้ว จำเป็นต้องมีระบบรองรับการปรับตัว ฝึกฝน เรียนรู้และทำความเข้าใจทั้งวัฒนธรรม การเข้าหาสังคม และรูปแบบกลไกการทำงานในสายที่ตนเองเลือกด้วย 

“ที่ผ่านมา ภาครัฐมักปล่อยให้ผู้ใช้ทุน ไปตายเอาดาบหน้า ดูแลสนับสนุนเพียงแค่ปัจจัยทางการเงิน ในระหว่างที่กำลังศึกษา แต่เมื่อจบออกมา กลับปล่อยให้เด็กเหล่านี้เคว้งคว้าง ดิ้นรนต่อสู้ชีวิตในสังคมการทำงานลำพัง

ฉะนั้น รัฐควรมีหน่วยงานผู้รับผิดชอบ เพื่อดูแลเรื่องเหล่านี้โดยตรง รวมทั้งการจัดทำระบบการติดตาม และประเมินผลในระยะยาว อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทราบว่างบประมาณที่รัฐลงทุนไปนั้น ได้ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด” คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้ และศึกษาศาสตร์ มธ. กล่าวและว่า

โครงการให้ทุนการศึกษาส่วนใหญ่ในประเทศไทย มีเจตนารมณ์ในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งมักคิดกันอย่างเร็วๆ ว่า การให้ทุนคือคำตอบ โดยเงื่อนไขของทุนคือ การมอบให้กับเด็กยากจน และมีผลการเรียนดี

คำถามคือ แล้วเด็กยากจนที่ผลการเรียนไม่ดี อยู่ตรงไหน เพราะไม่ได้หมายความว่า เขาเหล่านั้นจะไม่เก่ง แต่ผลการเรียนที่ไม่ดี อาจเป็นผลมาจากการถูกความเหลื่อมล้ำในมิติอื่นๆ กดทับ

เช่น ความแร้นแค้นที่ต้องหาเลี้ยงตัวเอง จนไม่สามารถโฟกัสเรื่องเรียนได้ ตลอดจนวัฒนธรรมดั้งเดิมของเขา เช่น เด็กชาติพันธุ์ ที่มีอุปสรรคเรื่องกำแพงภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ฯลฯ ฉะนั้นควรหยิบยื่นโอกาส และทุนการศึกษาให้ถึงเด็กเหล่านี้ด้วย

“นอกเหนือจากการให้ทุนแล้ว ควรจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการปรับโครงสร้าง และระบบการศึกษาที่ทำให้คนหลุดออกจากระบบ หรือมีผลการเรียนต่ำ ซึ่งโดยมากไม่ได้มาจากปัญหาเกี่ยวกับสติปัญญา แต่เป็นเรื่องของระบบที่ไม่สามารถดูแลเด็กเยาวชนที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ดีเพียงพอ” ผศ. ดร.อดิศร กล่าว