เวที CEO Talk! DPU ชวน 'โอ้กะจู๋' ถ่ายทอดประสบการณ์ธุรกิจ

เวที CEO Talk!  DPU ชวน 'โอ้กะจู๋' ถ่ายทอดประสบการณ์ธุรกิจ

CIBA DPU เปิดเวที CEO Talk ดึง “โอ้กะจู๋” ถ่ายทอดประสบการณ์ธุรกิจ เสริมทักษะบริหารยุคใหม่แก่นักศึกษา ปริญญาโท เส้นทางสู่ความสำเร็จ

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) จัด โครงการ CEO Talk : เส้นทางสู่ความสำเร็จ CEO Journey เปิดเวทีให้นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้บริหารระดับสูง พร้อมเสริมสร้างมุมมองด้านธุรกิจและพัฒนาทักษะการบริหารให้สอดรับกับยุคดิจิทัล โดยได้รับเกียรติจาก “อู๋-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ “โอ้กะจู๋” เป็นวิทยากร เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมสนม สุทธิพิทักษ์

โดยโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจาก หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (MBA), หลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต (MACC), หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาบัญชี (Ph.D Accountancy), หลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต (D.B.A.) และฝ่ายการศึกษาต่างประเทศและบัณฑิตศึกษา โดยมี ผศ. ดร.ปิยะวิทย์ ทิพรส ผู้อำนวยการหลักสูตร MBA เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และ ผศ. ดร.กุลบุตร โกเมนกุล อาจารย์ประจำสาขาการเงิน การลงทุน และเทคโนโลยีการเงิน รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ

โดยมีนักศึกษา 120 คน จากหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาเข้ารับฟัง พร้อมทั้งคณาจารย์ อาทิ ดร.วริศ ลิ้มลาวัลย์ รองคณบดีวิทยาลัยนานาชาติ (IC), ดร.อริสรา  ธานีรณานนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต, ดร.ไพทยา มีสัตย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาต่างประเทศและบัณฑิตศึกษา, ดร.พรชนก สุขพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษฝ่ายการศึกษาต่างประเทศและบัณฑิตศึกษา 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

'CIBA DPU' ดึงเกมเสริมทักษะรอบด้าน ปั้นคนรุ่นใหม่สู่ธุรกิจโลจิสติกส์

ปรับหลักสูตร 'คณะการท่องเที่ยวฯ DPU' บูรณาการ AI-SDGs ปั้นบัณฑิตรักษ์โลก

จาก Startup ผักสด สู่บริษัทมหาชน

สำหรับเนื้อหาในการบรรยาย “อู๋ ชลากร” ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของธุรกิจ “ปลูกผักอินทรีย์” โดยไม่มีการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง โดยเริ่มจากการทดลองปลูกในโรงเรือนขนาด 6x30 เมตร ในช่วงแรกยังไม่มีหน้าร้าน แต่เป็นการปลูกเพื่อบริโภคเองภายในครอบครัว และแจกจ่ายให้ชุมชนในพื้นที่

หลังจากนั้นเริ่มนำผลผลิตไปส่งร้านอาหาร ร้านสลัด และวางขายตามตลาด แบรนด์ "โอ้กะจู๋" ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ช่วงทดลองปลูก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ปี ก่อนจะเปิดร้านแรก ในช่วงเริ่มต้นนี้ "โจ้ จิรายุทธ ภูวพูนผล" ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง เข้ามาทำโครงการนี้เต็มตัวหลังจากเรียนจบ ขณะที่อู๋ ชลากรยังอยู่ในช่วงศึกษาต่อ

หนึ่งในความท้าทายสำคัญคือ การสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจความแตกต่างระหว่าง ผัก organicกับ ผัก Hydroponics ซึ่งในเวลานั้นยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายในตลาด ทำให้ต้องมีการให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้บริโภค

เวที CEO Talk!  DPU ชวน \'โอ้กะจู๋\' ถ่ายทอดประสบการณ์ธุรกิจ

จุดเปลี่ยนสำคัญ และการขยายธุรกิจ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "โอ้กะจู๋" ยังได้กล่าวถึงความเสี่ยงและจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจในปี 2554 ที่เผชิญกับ อุทกภัยครั้งใหญ่ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับแปลงผัก แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงนัก แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็เป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต

อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนคือการขยายสาขาเข้ามาที่สยาม ปี 2557-2559 ซึ่งมีความท้าทายในด้านแรงงาน โลจิสติกส์ และการเรียนรู้ตลาดใหม่ จากพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด ในช่วงแรกของการดำเนินงาน "อู๋ ชลากร" จึงต้องลงไปดูแลทุกกระบวนการด้วยตัวเอง เพื่อให้ธุรกิจปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการ โดยนำข้อมูลจากระบบ POS และ ERP มาวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เช่น เมนูที่ได้รับความนิยมและความถี่ในการเข้าใช้บริการ

การขยายธุรกิจของ "โอ้กะจู๋" ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเพิ่มสาขา แต่ยังต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า เช่น น้ำผลไม้ " Oh! Juice"  รวมถึง Ohkajhu Wrap and Roll  ที่จำหน่ายในบางสาขาของ Café Amazon หรือ ไก่ทอด “Joe Wings”  ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการทางเลือกที่มากขึ้น โดยแนวทางนี้ไม่เพียงเพิ่มตัวเลือกเมนูให้กว้างขึ้น แต่ยังช่วยรักษาคุณค่าเดิมของแบรนด์ที่มุ่งเน้นสุขภาพและคุณภาพ ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกับความหลากหลายของสินค้าในตลาด

นวัตกรรมกับความยั่งยืน

โอ้กะจู๋ยังให้ความสำคัญกับมาตรฐานการรับรอง เช่น EU Organic Certificate และการทำงานร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมมีใบรับรองมาตรฐานของตนเอง นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อรักษาความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มจากการล้างและเตรียมผักที่เชียงใหม่ ก่อนขนมายัง ศูนย์กระจายสินค้าที่กรุงเทพฯ ทุกคืน

ในด้าน “ความยั่งยืน” ถือเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ โดยบริษัทสนับสนุนให้เกษตรกรเปลี่ยนจากการทำไร่เลื่อนลอยมาสู่เกษตรอินทรีย์ ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ ลดปัญหาการเผาป่า และช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับ “การจัดการขยะอาหาร” ในร้าน โดยนำเศษอาหารกลับไปแปรรูปเป็น ปุ๋ยหมักผ่านเครื่องจักรเฉพาะทาง ซึ่งช่วยลดฝุ่น PM 2.5 และส่งเสริมแนวคิด เศรษฐกิจหมุนเวียนที่เน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ด้วยแนวคิดที่มุ่งเน้นทั้งนวัตกรรมและความยั่งยืน โอ้กะจู๋จึงยังคงรักษาจิตวิญญาณของแบรนด์แม้จะเผชิญแรงกดดันจากนักลงทุนหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยให้ความสำคัญกับ พนักงาน ลูกค้า และซัพพลายเออร์ พร้อมสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของธุรกิจ และการคงไว้ซึ่งคุณค่าดั้งเดิมที่ยึดถือมาตลอด

เวที CEO Talk!  DPU ชวน \'โอ้กะจู๋\' ถ่ายทอดประสบการณ์ธุรกิจ

คำแนะนำจาก CEO โอ้กะจู๋

สำหรับนักศึกษาหรือคนรุ่นใหม่ที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจหรือ CEO และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไทย "อู๋ ชลากร" ได้แบ่งปันมุมมองและข้อคิดที่สำคัญ คือ “ผลิตภัณฑ์” หรือ “คุณค่าหลัก (Core Value)” ที่ต้องการส่งมอบให้กับลูกค้า ต้องคิดเสมอว่าจะนำเสนอประสบการณ์ต่างๆ ให้กับผู้บริโภคในรูปแบบใด และแม้ว่าจะมีแนวคิดที่ดีแล้ว แต่ก็ต้องพิจารณาจากงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ในจุดเริ่มต้น

นอกจากนี้การเริ่มต้นควรเริ่มจากจุดเล็กๆ ค่อยๆ เรียนรู้ ซึมซับ และแก้ไขปัญหาไปเรื่อยๆ เพราะปัญหาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทุกวันและมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป อีกทั้งการสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัย ทีมงาน พาร์ทเนอร์ หรือหุ้นส่วน ที่ดี คอยสนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะไม่มีใครสามารถสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้เพียงลำพัง

สิ่งสำคัญประการสุดท้ายคือ “พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ” เพราะหากได้ทำในสิ่งที่รัก ทำให้เราสามารถทำงานได้ 7 วัน 24 ชั่วโมง โดยไม่รู้สึกเบื่อ อย่างไรก็ตามหากไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบโดยตรง อู๋ ชลากร แนะนำให้เชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่ได้ลงมือทำนั้นคือ “ทักษะและประสบการณ์ที่ติดตัว” ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจหรือดำเนินธุรกิจได้วันหนึ่งในอนาคต 

เวที CEO Talk!  DPU ชวน \'โอ้กะจู๋\' ถ่ายทอดประสบการณ์ธุรกิจ