เมื่อครูมีสมรรถนะ…นักเรียนย่อมมีสมรรถนะ

เป้าหมายในการพัฒนานักเรียนให้เป็นผู้มีสมรรถนะ เป็นเป้าหมายที่นานาอารยประเทศได้กำหนดไว้ และพยายามขับเคลื่อนนโยบายการศึกษา รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาของชาติให้สอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันมาเป็นระยะเวลามากกว่าทศวรรษ

กล่าวคือ นักเรียนไม่ใช่มีแค่เพียงความรู้จากเนื้อหาสาระวิชา (Content Knowledge) เท่านั้น หากแต่การจัดการเรียนการสอนต้องทำให้นักเรียนเกิดทั้งทักษะต่าง ๆ (Skills) และทัศนคติ (Attitude) ที่ดีจากการเรียน

รวมถึงองค์ประกอบสำคัญบางประการ เช่น บุคลิกภาพ อุปนิสัย แรงจูงใจภายใน ฯลฯ ให้เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กันด้วย ตามที่ ประเทศไทยเราได้พัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency-based Curriculum) มาแล้วระยะเวลาหนึ่ง ในการที่จะต้องการสร้างเยาวชนที่มีสมรรถนะพร้อมในการดำเนินชีวิตในอนาคตได้

เมื่อนักเรียนพบเจอสถานการณ์หรือปัญหาใดๆ เขาสามารถที่จะนำเอาความรู้ที่เรียนมาปรับประยุกต์ผสมกับทักษะต่าง ๆ ที่เกิดจากการบ่มเพาะในตอนที่เรียน ผสานกับทัศนคติที่ดีในการแก้ไขปัญหาที่พบเจอกับตัวเองให้ผ่านพ้นไปด้วยดี 

ผลของการจัดการเรียนการสอนแบบนี้ จึงจะมีคุณค่าและมีความหมายกับตัวนักเรียนอย่างแท้จริง

เมื่อนักเรียนเป็นผลผลิตจากกระบวนการศึกษา โดยมีครูเป็นบุคคลสำคัญในการจัดการเรียนการสอน จึงไม่ผิดหากเราจะใช้คำพูดที่ว่า “You are what you eat” หลายคนคงสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับการกิน

เพราะสำนวนนี้หมายความว่า “คุณกินอย่างไร คุณก็เป็นอย่างนั้น” ดังนั้น “ครูเป็นอย่างไร นักเรียนก็จะเป็นอย่างนั้น” เช่นกัน

ผู้เขียนต้องการจะสื่อว่า หากเราต้องการให้นักเรียนเกิดสมรรถนะจากการเรียนรู้ในห้องเรียน เราคงต้องย้อนดูว่า ครูผู้สอนมีสมรรถนะพร้อมแล้วหรือยัง

หลายคนมีชุดความคิดที่ว่า คนเป็นครูที่เก่งจะต้องเป็นครูที่มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่ตนเองสอนอย่างแม่นยำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเป็นครูต้องใช้สมรรถนะอย่างแท้จริง (ความรู้ ทักษะ และทัศนคติ)

เมื่อครูมีสมรรถนะ…นักเรียนย่อมมีสมรรถนะ

คือ เก่งแต่ความรู้ในเนื้อหาวิชาอย่างเดียวคงไม่พอ จำเป็นต้องมีทักษะต่าง ๆ ประกอบในการจัดการเรียนการสอนด้วย

ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิดต่าง ๆ  (เช่น คิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ คิดสังเคราะห์ ฯลฯ) ทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน ทักษะการสอน ทักษะการแก้ปัญหา และอื่น ๆ อีกหลากหลายทักษะ

อีกทั้ง คนที่เป็นครูได้ดีต้องมีทัศนคติที่ดีในการประกอบวิชาชีพครูเสียก่อนด้วยซ้ำไป ทว่าไม่ได้รักในการสอน ไม่ชอบเด็ก หรือมีอคติต่อการเป็นครู จะไม่สามารถปฏิบัติงานสอนของตัวเองได้อย่างสำเร็จแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น บุคลิกภาพน้ำเสียงของครูต้องดี ครูต้องทำตนให้เหมาะสมกับการเป็นต้นแบบที่ดี (Role Model) ให้กับนักเรียน และการมีแรงผลักดันในการสร้างความก้าวหน้าในวิชาชีพ เพื่อพร้อมที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ๆ

เห็นได้ว่า นี่คือองค์ประกอบของสมรรถนะที่สำคัญของการเป็นครูอย่างแท้จริง

กระบวนการคัดเลือกคนที่จะมาเป็นครู จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง หากเราต้องการให้นักเรียนไทยของเราเป็นผู้ที่มีสมรรถนะ เราต้องสรรหาคนที่จะมาเป็นครูให้มีสมรรถนะพร้อมเสียก่อน

เชื่อว่าหลายปีมานี้ในหลายสถาบันการผลิตครูมีความตื่นตัวและมีความมุ่งมั่นพยายามในการผลิตนิสิต นักศึกษาครูให้เพียบพร้อมเต็มไปด้วยสมรรถนะเพื่อการก้าวเข้าสู่วิชาชีพครูอย่างเต็มภาคภูมิ

เมื่อครูมีสมรรถนะ…นักเรียนย่อมมีสมรรถนะ

ผู้เขียนขอฝากไว้ว่า...

“ครูที่เก่งเนื้อหาวิชาอย่างเดียวคงไม่พอ หากสอนไม่เก่งขาดลีลาการสอนหรือทัศนคติเป็นลบในวิชาชีพ”

“ครูที่สอนเก่ง ลีลาดีอย่างเดียวก็ไม่ได้เช่นกัน หากความรู้ที่จะถ่ายทอดออกไปไม่แม่นยำหรือทัศนคติไม่ดีต่อการเป็นครู” และ

“ครูที่มีทัศนคติทางบวกในการเป็นครูมาก แต่ขาดทั้งความแม่นยำในเนื้อหาและทักษะการสอน” ยิ่งซ้ำเติมให้ดูแย่ลงไปกว่าเดิม

ดังนั้น ประเทศเราต้องการครูที่ทั้งเก่ง ดี มีทักษะต่าง ๆ และรักในการเป็นครูอย่างแท้จริง

ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าต่อให้ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพครูกี่ครั้ง จะต้องเผชิญกับเกณฑ์ไหนหรือจะเปลี่ยนเกณฑ์อีกกี่รอบหากเรามีความมั่นใจในสิ่งที่เราต้องการทำ ต้องการเป็น เราก็จะสามารถผ่านพ้นไปได้ในทุกอุปสรรค

อย่างไรก็ตาม การสอบใบประกอบไม่ได้เป็นตัวการันตีว่า เราจะเป็นครูที่มีสมรรถนะในวิชาชีพครู 100% ได้เลย หากเราขาดองค์ประกอบของสมรรถนะ 3 ประการข้างต้นไป 

ขอให้ผู้ที่เป็นครูหรือกำลังจะเป็นครูในอนาคต เชื่อมั่นในตนเองและมีใจรักในการเป็นครู มุ่งมั่นในการพัฒนาเด็กและเยาวชนของเราให้เติบโตไปอย่างมีสมรรถนะมีภูมิคุ้มกันที่ดีและเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในอนาคตก็คงเพียงพอ.