สธ.เผย 1 รายเสียชีวิตจากวัคซีนโควิด-19

สธ.เผย 1 รายเสียชีวิตจากวัคซีนโควิด-19

สธ.เผย 1 ราย เสียชีวิตจากวัคซีนโควิด-19 หญิงอายุ 28 ปีเข้าข่ายภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หลังฉีดแอสตร้าฯ เข็ม 1  ขณะที่เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังฉีดไฟเซอร์ 1 ราย เด็กชาย 13 ปี หายปกติ ผู้เชี่ยวชาญชี้ประโยชน์มีมากเดินหน้าฉีดวัคซีนต่อไป

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 ก.ย.2564 ในการแถลงข่าวสถานการณ์โควิด 19 ของกระทรวงสาธารณสุข ประเด็น “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีน” นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.ย.2564 ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด-19สะสม 35,912,894 โดส เป็นซิโนแวค 15,292,644 โดส แอสตร้าเซนเนก้า 15,419,603 โดส ซิโนฟาร์ม 4,330,836 โดส และไฟเซอร์ 869,811 โดส  โดยในส่วนเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ที่เข้าเกณฑ์การรายงานสอบสวนโรค โดยเป็นกรณีต้องรับเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในของรพ. เป็นผู้ฉีดซิโนแวค 2,667 ราย คิดเป็น 17.44 ต่อแสนโดส ในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับวัคซีนจากการพิจารณาของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ กรณีแพ้รุนแรง 24 ราย คิดเป็น 0.16 ต่อแสนโดส ทั้งหมดหายเป็นปกติ

วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 3,004 ราย คิดเป็น 19.48 ต่อแสนโดส เกี่ยวข้องกับวัคซีน กรณีแพ้รุนแรง 6 ราย คิดเป็น 0.04 ต่อแสนโดส กรณีภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำหลังได้รับวัคซีน 5 ราย คิดเป็น 0.03ต่อแสนโดส  วัคซีนซิโนฟาร์ม 193 ราย คิดเป็น 4.46ต่อแสนโดส และไฟเซอร์ 90 ราย คิดเป็น 10.35ต่อแสนโดส เกี่ยวข้องกับวัคซีน กรณีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 1 ราย คิดเป็น 0.11ต่อแสนโดส หายเป็นปกติ เป็นเด็กชายอายุ  13 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงมีภาวะอ้วน

กรณีเสียชีวิต มีการรายงานผู้เสียชีวิตภายหลังได้รับวัคซีน 628 ราย รอสรุปผล 122 ราย และคณะผู้เชี่ยวชาญฯพิจารณาแล้ว  416 ราย ในจำนวนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนเป็นเหตุการณ์ร่วมจากภาวะโรคอื่น 249 ราย เช่น ติดเชื้อของระบบประสาทและสมอง 2 ราย  เลือดออกในสมอง 26 ราย  เส้นเลิอดสมองอุดตัน 5 ราย  ปอดอักเสบรุนแรง 69 ราย ลิ่มเลือดอุดตันในปอด 3 ราย โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ 64 ราย ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 19 ราย  มะเร็งเต้านม 1 ราย มะเร็งท่อน้ำดี 1 ราย มะเร็งปอด 1 ราย  ภาวะอื่นๆ เลือดออกในช่องท้อง 4 ราย รับประทานเห็ดพิษและตับวาย 2 ราย โรคอื่นๆ 25 ราย  คาดว่าน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีนให้รอผลชันสูตรและข้อมูลเพิ่มเติม 24 ราย

เหตุการณ์ที่ไม่สามารถสรุปได้ว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีนหรือไม่ 32 ราย เช่น โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ 18 ราย ภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำ 2 ราย เลือดออกในสมอง 2 ราย ระบบหัวใจล้มเหลว 1 ราย และรอสรุปสาเหตุการเสียชีวิตจากผลชันสูตรศพ 9 ราย และเหตุการณ์ที่สรุปได้ว่าเกี่ยวข้องกับวัคซีน 1 ราย โดยเข้าข่ายภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำ เป็นหญิง อายุ 28 ปี พื้นที่นนทบุรี เกิดอาการหลังรับวัคซีนแอสตร้าฯเข็มแรก 6 วัน

นพ.จักรรัฐ กล่าวอีกว่า การเกิดภาวะลิ่มเลือดร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำภายหลังได้รับวัคซีนหรือ VITT(Vaccine-induced Immune Thrambotic Thrambocytopenia:VITT) ในประเทศไทยพบผู้ป่วยสงสัย 5 ราย เป็นชาย 2 ราย หญิง 3 ราย อายุระหว่าง 21-40 ปี 3 ราย คิดเป็น 0.06ต่อการฉีกดวัคซีน 1แสนโดส 41-60ปี 1 ราย คิดเป็น 0.02 ต่อการฉีกดวัคซีน 1แสนโดส และ61-80 ปี 1 ราย คิดเป็น 0.02 ต่อการฉีกดวัคซีน 1แสนโดส พื้นที่กทม. 3 ราย นนทบุรี 1 ราย และนราธิวาส 1 ราย  ในจำนวนนี้ หายเป็นปกติ 2 ราย และเสียชีวิต 3 ราย  ทุกรายมีประวัติอาการภายหลังได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า แข็มแรก ช่วงระยะเวลาตั้งแต่รับวัคซีนถึงเริ่มมีอาการ 3-15 วัน 

ทั้งนี้ อุบัติการณ์เกิดของภาวะVITTในประเทศไทย 0.03ต่อแสนโดส ขณะที่ในยุโรป แคนาดา และออสเตรเลียพบอุบัติการณ์ 0.73ต่อแสนคนที่ได้รับวัคซีนแอสตร้าฯเข็มแรก อังกฤษพบการรายงานในคนอายุน้อยมากกว่าคนสูงอายุ มีอุบัติการณ์ อายุ 50 ปีขึ้นไป 1รายต่อแสนโดส และอายุน้อยกว่า 50 ปี 1 รายต่อ 5 หมื่นโดส ซึ่งจะเห็นว่าในประเทศอังกฤษเกิดมากกว่าไทยถึง 30 เท่า ในประเทศไทยถือว่าเกิดน้อยมาก

“ภาวะVITTสามารถเกิดขึ้นได้แต่น้อยมาก และสามารถรักษาให้หายได้ ถ้าได้รับการวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากประชาชนมีอาการดังนี้ข้อใดข้อหนึ่ง คือ ปวดศีรษะรุนแรง แขนขาอ่อนแรง ปากหรือหน้าเบี้ยว เจ็บหน้าอก หายใจติดขัด ขาบวมเจ็บ ปวดท้องรุนแรง หรือพบมีจุดเลือดออกคล้ายไข้เลือดออกแต่จะไม่มีไข้ ภายหลังได้รับวัคซีน 4-30 วัน ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน และควรแจ้งประวัติการรับวัคซีน โดยนำบัตรนัดหรือบัตรฉีดวัคซีนไปด้วย ซึ่งหากตรวจพบและรักษาได้เร็วจะป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงหรือการเสียชีวิตได้ รวมถึง แพทย์จะต้องนึกถึงภาวะนี้หากคนไข้เข้ารับการรักษาและมีเกล็ดเลือดต่ำร่วมกับประวัติรับวัคซีน” นพ.จักรรัฐกล่าว

สำหรับกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ที่เกิดจากวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ซึ่งปัจจุบันมี 2 ตัว คือไฟเซอร์และโมเดอร์นา รายงานอุบัติการร์การเกิดประมาณ 16 ราย ใน 1 ล้านโดสของการฉีด พบในเพศชาย เป็นส่วนใหญ่ อาการพบได้ภายใน 30 วันหลังได้รับวัคซีน แต่ส่วนใหญ่พบภายในท 7 วัน พบในเข็มที่ 2 มากกว่าเข็มที่ 1 เพศชายที่อายุ 12-17 ปีจะมีอัตราการเกิดสูงสุด รองลงมาช่วงอายุ 18-24 ปี ยังไม่มีรายงานในผู้สูงอายุ และผู้ป่วยหายเป็นปกติได้เกือบทั้งหมด ทั้งนี้ หากมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจหอบ เหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ใจสั่น หากมีอากการภายใน 30 วันหลังได้รับวัคซีนควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ กรณีเป็นผู้ป่วยที่มีประวัติ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเคยมีภาวะหัวใจล้มเหลวมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาเพื่อประเมินภาวะของโรคก่อนฉีดวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA

“เมื่อพิจารณาประโยชน์ที่ได้รับจากการฉีดวัคซีนที่ประเทศไทยใช้อยู่ยังมีมากกว่าอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น จึงยังคงแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนต่อไป ดังนั้น ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่ติดโควิด-19แล้วมีอาการรุนแรงและเสียชีวิต คือ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคและหญิงตั้งครรภ์ให้เข้ารับการฉีดวัคซีน” นพ.จักรรัฐกล่าว