'หมู่เกาะพีพี’ ที่เปลี่ยนไป เมื่อปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัว

'หมู่เกาะพีพี’ ที่เปลี่ยนไป เมื่อปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัว

การท่องเที่ยว มีส่วนทำให้ธรรมชาติหมู่เกาะพีพีถูกทำลาย เป็นที่มาของการฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา

“การทำงานใต้ทะเล เราจะพลาดไม่ได้เลย เพราะเป็นงานที่เสี่ยง ต้องเช็คให้มั่นใจแล้วทำตามกฎ ทุกคนที่มาทำงานตรงนี้ ต้องมีประสบการณ์ดำน้ำลึกสิบปีขึ้นไป ” กุลวิทย์ ลิ่มจุฬารัตน์ ผู้จัดการ ฝ่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการฟื้นฟูธรรมชาติใต้ทะเล อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทีมนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลทั้ง 4 ต้องเสี่ยงอันตรายลงไปทำงานใต้ทะเลทุกๆ 3-4 เดือน  แต่ช่วงไวรัสโควิดระบาด ไม่มีโอกาสเดินทางไปในพืื้นที่ดังกล่าว 

ในปี 2559 เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ทางบริษัทที่ทีมนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลทำงานให้ ได้มีการทำโครงการ พีพี กำลังจะเปลี่ยนไป เพื่อป้องกันและฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล ตามกรอบแนวคิดพีพีโมเดล ของ ผศ.ดร.ธรณ์  ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยมีการวางแผนจัดการหลาายเรื่อง อาทิ ทำทุ่นจอดเรือที่ทะเลแหวก เมื่อผู้ประกอบการเข้ามาส่งนักท่องเที่ยวแล้ว ต้องนำเรือออกไปจอดกับทุ่น แทนการเข้ามาจอดบริเวณทะเลแหวก เพื่อป้องกันรักษาไม่ให้แนวปะการังเสียหายจากการทิ้งสมอเรือ

นอกจากนี้ยังได้มีการสนับสนุนเรือตรวจการณ์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่อุทยานได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพในการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ควบคุมดูแล และจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย รวมถึงมีการสนับสนุนการวิจัยสาหร่ายจิ๋ว (Zooxanthellae) ฟื้นฟูปะการังฟอกขาว ซึ่งเป็นการวิจัยครั้งแรกของโลก โดย ดร.ไทยถาวร เลิศวิทยาประสิทธิ์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

“ในเรื่องสิ่งแวดล้อมจะเน้นเรื่องทะเล เพราะบริษัทมีโรงแรมพีพี ไอส์แลนด์เ วิลเลจ บีช รีสอร์ท อยู่ที่นั่น และต้องยอมรับว่านี่คือบริษัทเอกชนแห่งแรกที่ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรใต้ทะเล เพราะธุรกิจของพวกเขาเกี่ยวโยงกับธรรมชาติและการจัดการสิ่งแวดล้อม เมื่อก่อนรีสอร์ทไม่เคยมีศูนย์การเรียนรู้ อ.ธรณ์ ที่ปรึกษาจึงคิดว่า ต้องทำให้ครบวงจร ทำศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล เปิดให้แขกในโรงแรม และนักท่องเที่ยวทั่วไป ได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตทางทะเล ซึ่งเป็นแหล่งแรกของภาคเอกชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” กุลวิทย์ กล่าว และคาดว่า ศูนย์แห่งนี้จะเป็นต้นแบบของการเรียนรู้และการขยายผลไปในพื้นที่อื่นๆ ทั้งในประเทศไทยและทะเลทั่วโลก

นอกจากนี้ยังมีการปลูกปะการัง ด้วยวิธี Coral propagation ซึ่งเป็นการขยายพันธุ์ โดยใช้ชิ้นส่วนทางธรรมชาติ ทำให้มีอัตราการขยายพันธุ์ที่ดีกว่าแบบเดิม ที่บริเวณเกาะยูง ซึ่งถือเป็นแหล่งพ่อ-แม่พันธุ์ปะการังที่สำคัญของประเทศไทย เพื่อให้ปะการังได้ขยายพันธุ์ต่อไป

“พวกผมได้เข้าไปถ่ายภาพทางโดรน และสำรวจพื้นที่แนวปะการัง ในปี 2561 เพื่อดูว่าปะการังฟื้นตัวแค่ไหน ถ้านับจากปี 2559 จนถึงปีนี้ถือว่าฟื้นตัวเยอะมาก ราวๆ 11 เปอร์เซ็นต์ เราได้ทำการศึกษาเฉพาะจุดสองปีแล้ว "

 ย้อนไปถึงงานวิจัยของเขาที่ทำมาร่วมสิบปีเรื่องการฟื้นฟูปลาการ์ตูน ที่เกาะห้า จ.กระบี่ เนื่องจากได้รับผลกระทบเยอะ เพราะชาวประมงไปจับมาขายตลาดปลา ไม่นิยมเพาะพันธุ์ จำนวนปลาการ์ตูนจึงลดลง

“ตอนนั้นพบว่าการปล่อยปลาการ์ตูนคืนสู่ธรรมชาติ อัตราความสำเร็จของการรอดตายน้อยมาก คนไปจับมาจากธรรมชาติใช้เวลานิดเดียว แต่ใช้เวลาฟื้นฟูนาน กว่ามันจะปรับตัวได้ ก็ต้องเป็นสิ่งแปลกปลอมตามแนวปะการังอยู่นาน เพราะมันจะถูกสิ่งที่มีชีวิตในระบบนิเวศขับไล่ เนื่องจากเป็นผู้รุกราน ดังนั้นอัตราการปล่อยปลาที่จะประสบความสำเร็จไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์”

        เขาเล่าถึงปลาการ์ตูน ต่อว่า เวลาที่ชาวประมงอยากจับปลามาขายก็แค่จ่ายค่าน้ำมันไม่กี่ร้อยบาท  ปลาพวกนี้จับง่ายมาก เพราะมันอาศัยอยู่บริเวณดอกไม้ทะเล จับมาขายได้ตัวละ 30-50 บาท แต่เวลาฟื้นฟูต้องใช้เวลานาน เสียทั้งงบและเวลา กว่าจะฟื้นคืนปลาการ์ตูนสู่ธรรมชาติสำเร็จ ต้องใช้งบตัวละหมื่นกว่าบาท เพราะปลาที่คืนสู่ธรรมชาติต้องเป็นปลาตัวโต

“จะใช้ลูกปลาไปปล่อยไม่ได้ โดนกินหมด ในศูนย์การเรียนรู้ก็ให้ความรู้ว่า การปกป้องปลาในธรรมชาติไว้ดีกว่าการฟื้นฟู เพราะฟื้นฟูต้องใช้ทรัพยากรเยอะ อีกอย่างเวลานักท่องเที่ยวมาเที่ยวทะเล เหยียบบนปะการังก็คิดว่านั่นคือหิน ทั้งๆ ที่มันคือปะการังชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีแคลเซียมจึงคล้ายหิน คนก็นึกว่าไม่มีชีวิต ในอดีตคนคิดว่าปะการังจะฟื้นตัวได้เร็ว”

 

thumbnail

ส่วนใหญ่ปลาการ์ตูนที่ปล่อยไป ต้องได้รับการอนุบาลและฝึกการดำรงชีพใต้ท้องทะเลในแบบจำลองธรรมชาติ เพื่อให้ปลาสามารถดำรงชีพและแพร่พันธุ์ต่อไปได้อย่างแท้จริง โดยปีที่ผ่านมามีปล่อยปลาการ์ตูนสีส้มขาว บริเวณพื้นที่เกาะบิดะใน เกาะที่ได้ชื่อว่ามีดอกไม้ทะเล ซึ่งเป็นเสมือนบ้านของปลาการ์ตูน

      เมื่อถามถึงการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล  เขาบอกว่า เวลาลงไปใต้น้ำ ต้องมีทั้งกระดานจด กล้องถ่ายรูป ต้องดูกระแสน้ำและกระแสลมว่าพัดไปทิศไหน รวมถึงมีระยะเวลาจำกัดในการอยู่ใต้ทะเล 

"การวิจัยทางทะเล บางทีกำหนดวันและระยะเวลาแน่นอนไม่ได้ พวกเราลงไปทำงานใต้ทะเลแต่ละรอบต้องไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ต้องรีบขึ้นมาจากน้ำ แล้วค่อยลงไปใหม่ ตอนที่ทำการวิจัยการฟื้นฟูเกาะยูง  สามเดือนลงไปทำงานครั้งหนึ่ง เพื่อดูว่าปะการังฟื้นฟูแค่ไหน นอกจากนี้เรายังนำปะการังแตกหักมาอนุบาลหน้ารีสอร์ท  เพื่อนำไปช่วยอุทยานในการฟื้นฟูอ่าวมาหยา

ที่ผ่านมา พวกเขาลงไปปลูกปะการัง ด้วยวิธี Coral propagation บริเวณอ่าวมาหยาจากแปลงอนุบาลลอยน้ำ บริเวณอ่าวโละบาเกาทุกๆ กลางเดือน พ.ค. - ส.ค. แล้วนำมาปลูกติดกับหินปะการังที่ตายตามธรรมชาติ และทำการติดตามผลการเจริญเติบโตของปะการังด้วยภาพถ่ายทางอากาศจากโดรนทุกๆ 1 เดือนในช่วงกิจกรรมการปลูก หลังจากนั้นจะติดตามผลการเจริญเติบโตของปะการังด้วยภาพถ่ายทางอากาศจากโดรนทุกๆ 4 เดือน

ช่วงไวรัสระบาด อุทยานแห่งชาติหลายแห่งไม่เปิดรับนักท่องเที่ยว ธรรมชาติจึงไม่ถูกทำลายและฟื้นตัวเร็วขึ้น กุลวิทย์ บอกว่า ช่วงนี้มีนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลคนหนึ่งประจำโรงแรม คอยดูแลศูนย์การเรียนรู้และการเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูน รวมถึงคอยช่วยเหลืออุทยานเวลาเข้าไปทำงานฟื้นฟูเกาะมาหยา 

“ผมไม่มีโอกาสลงไปในพื้นที่ แต่เท่าที่ทราบ ธรรมชาติพื้นฟูขึ้นเยอะ อย่างเช่น ฉลามกลับมาที่เกาะมาหยา เกาะปอดะ และมีรายงานว่า พบฉลามแถวๆ เส้นทางไปเกาะสิมิลัน”