‘บุญมี สุระโคตร’ ผู้ก่อตั้งวิสาหกิจชุมชน เกษตรกรที่ทำธุรกิจเป็น

‘บุญมี สุระโคตร’ ผู้ก่อตั้งวิสาหกิจชุมชน เกษตรกรที่ทำธุรกิจเป็น

ถ้าจะพ้นจากความยากจนไปได้ ต้องคิดต่าง ซึ่งเกษตรกรคนนี้ นำพาชุมชนไปรอด จนกลายเป็นแหล่งเกษตรอินทรีย์อันดับต้นๆ ของประเทศ


อีกตัวอย่างดีๆ ของเกษตรกรที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ปัจจุบันเป็นประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ศูนย์ข้าวบ้านอุ่มแสง ตำบลดู่ อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ แหล่งเกษตรอินทรีย์อันดับต้น ๆ ของประเทศ

ก่อน 'บุญมี สุระโคตร' จะกลับบ้านมาทำอาชีพดั้งเดิม เขาเคยทำมาหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่ช่างเฟอร์นิเจอร์ ช่างตัดผม และช่างเดินสายไฟ ฯลฯ สุดท้ายการทำการเกษตร อาชีพดั้งเดิมของครอบครัว คือสิ่งดีที่สุด เป็นความถนัดที่สามารถสร้างรายได้ และนำพาชุมชนไปสู่การพลิกฟื้นผืนดินให้กลายเป็นเกษตรอินทรีย์

โดยการ“ทำนา ปลูกข้าว” ในวิถีเกษตรอินทรีย์ พลิกผันชีวิตจนประสบความสำเร็จกลายเป็นเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ รวมถึงปราชญ์ชาวบ้านด้านการอนุรักษ์ภูมิปัญญา การทำนาข้าวอินทรีย์ หลังจากได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ผลิตข้าวหอมมะลิอินทรีย์คุณภาพดี ต้นทุนต่ำ สร้างแรงจูงใจให้ชาวนาในพื้นที่หันมาปลูกข้าวอินทรีย์ 

เรื่องราวที่น่าสนใจของบุญมี ชาวนาผู้ปลูกข้าวอินทรีย์ส่งออก ได้ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านหลักสูตรเกษตรอินทรีย์ เพื่อการส่งออก ภายใต้ระบบการเรียนรู้ในรูปแบบ E-Learning ที่เรียกว่า The Guru ปันความรู้สู่ภูมิภาค ของสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่(NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์เพื่อแบ่งปันความรู้และแรงบันดาลใจด้วยประสบการณ์การพลิกทุ่งนาให้กลายเป็นเกษตรอินทรีย์เต็มรูปแบบ ซึ่งหลักสูตรที่บุญมีทำ ให้ข้อคิด 3 ข้อที่น่าสนใจคือ

1.ทุกก้าวย่างคือ ตำราเรียน 

อยากรู้อะไรต้องก้าวเข้าไปเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาชีวิตเกษตรกรให้ไม่ต้องลำบาก สามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน สุดท้ายเมื่อเรียนรู้แล้ว ต้องนำมาปฏิบัติต้องเชื่อมั่นว่า อาชีพของเราสามารถสร้างรายได้ และน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในผืนนาของตัวเองรักษาสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ให้ความสำคัญต่อสุขภาพทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

2.รายได้ต้องเท่าเทียมกัน 

บุญมีเล่าว่า “จากคนกลุ่มเล็ก ๆ 47 คนรวมตัวกันมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวเกษตรอินทรีย์ครบวงจร ปัจจุบันมีสมาชิก 1,258 ครัวเรือน มีพื้นที่ปลูกข้าว20,716 ไร่บนพื้นที่ของทุ่งกุลาร้องไห้

ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวบ้านอุ่มแสง มีรายได้จากการขายข้าวอินทรีย์ชนิดต่าง ๆ มีกำไรอย่างต่อเนื่องผลกำไร 15% จัดสรรเป็นเงินปันผลให้สมาชิก และกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาชิกและชุมชน เช่น ทุนการศึกษาของลูกหลานสมาชิก สมทบทุนเพื่อสาธารณประโยชน์ของชุมชน ฯลฯกุญแจสำคัญที่ไขสู่ความสำเร็จนั่นก็คือ การเลือกทำเกษตรอินทรีย์และมีใบรับรองมาตรฐานทำให้สามารถขายข้าวไปยังต่างประเทศสะดวกขึ้น"

3.เพิ่มมูลค่าสินค้า 

โดยการแปรรูปข้าวและพัฒนาช่องทางตลาดไปพร้อม ๆ กัน อาทิ ทำผลิตภัณฑ์แป้งจากจมูกข้าวกล้องงอก จมูกข้าวกล้องงอกพร้อมดื่ม ไอศกรีมข้าวกล้องงอก ขนมที่ทำจากข้าวกล้องงอก เป็นต้น

 

ข้อคิดดีๆ ที่เกษตรกรบุญมี เล่าถึงเบื้องหลังความสำเร็จ และการถ่ายทอดประสบการณ์ในการเปลี่ยนทุ่งนาให้เป็นเกษตรอินทรีย์ จนสามารถส่งออกข้าวต่างประเทศ และเกิดผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย

ผู้สนใจสามารถเข้าไปสมัครเรียนได้ที่ https://e-academy.ditp.go.th/theguru/ และติดตามข่าวสารได้ที่ nea.ditp.go.th ,www.ditp.go.th และสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169