‘สวนป๋วย’ สวนสวยด้วยความยั่งยืน

มากกว่าพื้นที่สีเขียว คือ การบริหารจัดการพื้นที่บนหลังคาให้เป็นสวนกินได้ยั่งยืนงอกงาม
“ผมจำเป็นต้องมีอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำบริสุทธิ์สำหรับดื่ม เมื่อจะตาย ก็อย่าตายอย่างโง่ๆ บ้าๆ คือตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ...” คือคำกล่าวเมื่อ 46 ปีก่อนของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ที่ปรากฏบนผนัง Centenary Hall ในอาคารอุทยานเรียนรู้ป๋วย 100 ปี ถึงแม้ปัญหายังคงอยู่แต่เป็นสัญญาณอันดีที่เริ่มมีหลายคนลงมือแก้ไขแล้ว ณ ตอนนี้ ทำให้เมืองหลวงทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงบทบาทไปสู่เมืองเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มุ่งใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกด้าน ลดปริมาณขยะให้น้อยที่สุด บริหารจัดการขยะมาสร้างมูลค่าเพิ่ม
รูปปั้น ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และ ปรีดี พนมยงค์
พูนดิน ในเมืองไทย
เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา มีการก่อสร้างอาคารรูปทรงทันสมัยแปลกตา ก่ออิฐสีแดง มีทางขึ้น 4 ทางไปสู่ด้านบนหลังคา ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เกิดขึ้นจากความต้องการของมหาวิทยาลัย
“นโยบายของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งความยั่งยืน Best Sustainable and Smart University ให้ความสำคัญใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน สังคม และคน ในวาระที่ศาสตราจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ มีชาตกาลครบ 100 ปี จึงได้สร้าง อุทยานการเรียนรู้ ป๋วย 100 ปี หรือ สวนป๋วย ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์
รูปแบบอาคารเป็นรูปตัว H มาจาก Humanity สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือ ความเป็นมนุษย์ ที่เกื้อกูลกัน เห็นอกเห็นใจกัน เราจะคิด เราจะเห็น ต่างกันได้ แต่เราจะเกื้อกูล เห็นอกเห็นใจกัน ต่อเพื่อนร่วมโลก สปีชีส์อื่นๆ ด้วย นี่คือความหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ผศ.ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล
เราไม่ได้คิดแคบๆ เพียงแค่ทำตึกนี้มาเพื่อตัวเราเอง แต่คิดถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยที่คิดถึงมวลมนุษยชาติ คิดถึงความเป็นมนุษย์ที่ทำให้เราอยู่ร่วมประเทศกันได้อย่างผาสุกยั่งยืน พื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่เพียงแค่ที่ปลูกผัก แต่มันคือสวนสาธารณะที่ไม่เคยมีการปิดรั้ว ไม่มีประตูปิด ทางขึ้นทั้ง 4 ทางสามารถขึ้นได้ตลอดเวลา นี่คือพื้นที่ให้บริการประชาชน พื้นที่สาธารณะแห่งใหม่ของทุกคน” ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต พูดถึงความเป็นมาของที่นี่ให้ฟัง
สวนป๋วย ตั้่งอยู่บนพื้นที่ 53,000 ตารางเมตร ความสูงเท่าตึก 4 ชั้น มีลักษณะเป็น ‘พูนดิน’ มาจากคำว่า ‘ป๋วย’ มีความหมายว่า บำรุง, หล่อเลี้ยง, เพาะเลี้ยง, เสริมกำลัง ก่อนหน้ากว่า 10 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดให้มีโครงการ ‘ธรรมศาสตร์ทำนา’ เพื่อให้นักศึกษาเห็นคุณค่าความสำคัญของการใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีโอกาสได้ทำนา เรียนรู้ความยากลำบากของชาวนา และนำข้าวนั้นมาเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่
สวนบนหลังคา
ส่วนมากแล้วสวนบนหลังคาจะมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ที่นี่ Puey Park for People and Sustainability มีขนาดใหญ่มาก เป็น Green Roof Urban Farm ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีแปลงเกษตรออร์แกนิค 7,000 ตร.ม. สานต่อเจตนารมณ์อาจารย์ป๋วย ผู้ริเริ่มขยายวิทยาเขตจากท่าพระจันทร์ไปศูนย์รังสิต มุ่งพัฒนาให้เต็มไปด้วยต้นไม้ ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม เป็นเสมือนสัญญะเรียกร้องให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศคำนึงถึงพื้นที่สีเขียวและรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ของคน สร้างคุณภาพชีวิตให้มีการกินดีอยู่ดี ดังทัศนะที่ท่านได้แสดงไว้เมื่อ 46 ปีก่อน
ใต้หลังคาพูนดินเป็นอาคาร ประกอบด้วย ห้องสมุดประชาชน, ห้องประชุมและสัมมนา, พื้นที่จัดแสดงคอนเสิร์ต 630 ที่นั่ง, ศูนย์อาหารออร์แกนิค พื้นที่เอนกประสงค์ ตัวอาคารเปิดช่องให้มีแสงเข้าสู่อาคารได้มาก ลดการใช้ไฟฟ้า ประหยัดพลังงาน เป็นการใช้พื้นที่อย่างกลมกลืนคุ้มค่าระหว่างอาคารใหม่กับพื้นที่สีเขียว ในวันนี้มีนักศึกษาและประชาชน มาร่วมทำนา ปลูกผัก ในกิจกรรม ‘ธรรมศาสตร์ทำนา และปลูกผัก บนหลังคาลอยฟ้า’ (Thammasart Urban Rooftop Organic Farm) เพื่อสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นในสังคมไทย นำไปสู่ความมั่นคงทางด้านอาหารและปลอดภัยต่อผู้บริโภค
ผศ.ปราณิศา บุญค้ำ
“พื้นที่ 100 ไร่ของสวนผักออร์แกนิคบนหลังคานี้ สามารถผลิตอาหารได้ 20 ตันต่อปี หรือ 133,000 มื้อต่อปี มีพืชผักปลอดสารเคมีส่งถึงนักศึกษาและประชาชนทั่วไป เป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้านนวัตกรรมการเกษตรที่สมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับแผนแม่บทก้าวไปสู่มหาวิทยาลัยสีเขียว ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ การบริหารจัดการ การใช้พื้นที่ การนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ก่อสร้างอาคาร มุ่งเน้นประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีการจัดการขยะ วิจัยและบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนหลายสาขาวิชามาผสมผสานเข้าด้วยกัน ไปสู่เป้าหมายสร้างความยั่งยืน เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในที่สุด” ผศ.ปราณิศา บุญค้ำ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยที่ได้สร้างสวนและอาคารแห่งนี้ขึ้น
สิ่งสำคัญของสวนป๋วยแห่งนี้ คือการออกแบบและจัดสรรตำแหน่งเพาะปลูกให้กับพืชต่างๆ เพราะพืชแต่ละชนิดมีความต้องการและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
อาจารย์กชกร วรอาคม
“ความท้าทายในการออกแบบสวนป๋วย อยู่ที่การผสมผสานแนวคิดด้านการออกแบบและการบริหารจัดการทั้งระบบอย่างครบวงจร ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม สังคม และพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการน้ำ การจัดสรรพื้นที่ การออกแบบพื้นที่ให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้เต็มรูปแบบ การบริหารพันธุ์ไม้ช่วยกรองฝุ่น PM2.5 สร้างแหล่งอากาศบริสุทธิ์ การไล่ระดับพื้นที่เพาะปลูกแบบนาขั้นบันได ลดแรงปะทะ ช่วยชะลอการไหลบ่าของน้ำฝนได้มากถึง 20 เท่า ลดความเสี่ยงน้ำท่วมขัง เพิ่มปริมาณรองรับน้ำฝน พัฒนาระบบจัดการน้ำหมุนเวียน มีสระน้ำรองรับ 4 แห่ง รอบอาคาร จุน้ำได้รวมกว่า 3 ล้านแกลลอน (13.5 ล้านลิตร) ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ปั๊มน้ำเข้าสู่ระบบหมุนเวียนนำมาใช้ซ้ำเพื่อการเพาะปลูก ลดการใช้ทรัพยากรด้านพลังงานและน้ำ ดินที่เพาะปลูกมีความลึก 30 เซนติเมตร ถ้าเป็นต้นไม้จะลึกเป็นเมตร เมื่อเก็บเกี่ยวได้ก็ส่งขายข้างล่าง กินเหลือก็มาเป็นปุ๋ยบนนี้ ที่ธรรมศาสตร์มีโรงปุ๋ยอยู่แล้ว เบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แค่รีไซเคิลน้ำ แต่เป็น Circular Economy เศรษฐศาสตร์หมุนเวียน นำเอาขยะเหล่านั้นมาเข้าลูปใหม่” อาจารย์กชกร วรอาคม ภูมิสถาปนิกแห่ง LANDPROCESS กล่าวถึงการออกแบบและรายละเอียด
การรีไซเคิลนั้นมีทั้งด้านดีและไม่ดี ถ้าทำแล้ว เพิ่มขยะ เพิ่มการใช้พลังงาน เพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือทำให้ต้องทำอีกรอบหนึ่ง จะนับว่าเป็น ‘ดาวน์ไซเคิล’ การรีไซเคิลที่ดี ต้อง ‘อัพไซเคิล’ เท่านั้น
ภูมิสถาปนิกคนเดิมเพิ่มเติมว่าเคยทำ Green Roof ที่จุฬาฯ มาก่อนด้วยแนวคิดเหมือนกัน แต่การเกิดลูป Circular Economy ที่สวนป๋วยชัดเจนกว่า ท้าทายกว่า เป็นเพราะโจทย์ไม่เหมือนกัน คือ จุฬาเป็น Urban Space แต่ที่นี่เป็นชานเมือง ทำบ่อน้ำได้ มีพื้่นที่ใช้สอยมากพอ อากาศและอุณหภูมิเหมาะสมต่อการเพาะปลูกพืชผักมากกว่า แต่กรณีที่ปลูกบนที่สูงมากเช่นบนหลังคาจะเจอแดดแรงกว่า ต้องเลือกชนิดพันธุ์ที่ทนแล้ง ส่วนข้างล่างต้องทนน้ำ เพราะปล่อยให้น้ำค่อยๆ ไหลไปเรื่อยๆ
พืชหลายชนิดเมื่อปลูกไปเรื่อยๆ จะสร้างปุ๋ยด้วยตัวเอง ที่สวนป๋วยจึงไม่มีการเผา ปุ๋ยบางส่วนมาจากโรงอาหาร ในทางกลับกันก็ปลูกพืชตามออเดอร์ของโรงอาหารธรรมศาสตร์ที่สั่งเข้ามาด้วย หลักๆ คือข้าว ผักชีลาว ผักสลัด กระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเขียว 20 กว่าชนิด รวมไม้ต้นก็ 40 กว่าชนิด รวมทั้งไม้ประดับ เช่น จิกน้ำซึ่งต่อไปจะสร้างร่มเงา จะสังเกตได้ว่าที่นี่ใช้ต้นไม้อายุน้อย ทำให้ไม่ต้องไปขุดล้อมมา ส่วนนาข้าวก็เลือกเฉพาะพันธุ์ข้าวธรรมศาสตร์ที่ทนแล้ง มีทั้งนาหยอด นาดำ และนาหว่าน นอกจากเสมอภาคเรื่องอาหารแล้วยังเสมอภาคเรื่องรายได้ให้คนที่เข้ามาช่วยงานด้วยนั่นเอง
เพื่อโลกที่ยั่งยืน
แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว การจะทำสิ่งใด องค์ประกอบรอบข้างล้วนสำคัญ ที่นี่เป็น ‘ทุ่งรังสิต’ พื้่นที่ชุ่มน้ำ รองรับน้ำ เมื่อมีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แถบนี้ก็ถูกน้ำท่วมด้วยเช่นกัน
“การจัดการน้ำของสวนป๋วย เกี่ยวข้องกับการระบายน้ำของมหาวิทยาลัย เมื่อมีน้ำมา สวนแห่งนี้จะรองรับน้ำ ซึมน้ำ บำบัดน้ำ ด้วยพืชชนิดต่างๆ ก่อนปล่อยลงสู่คลองเดิม ถ้าเกิดน้ำท่วม ธรรมศาสตร์จะพลิกตัวเองไปเป็นศูนย์บำบัดศูนย์ช่วยเหลือได้ ไม่ใช่แค่ช่วยรับน้ำ แต่กลายเป็นศูนย์พักพิงที่ผู้ประสบภัยมาใช้ประโยชน์กางเต็นท์นอนได้ เราออกแบบด้วยการมองไปข้างหน้าอย่างรอบคอบรอบด้าน เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคต เช่น ถ้ามีน้ำท่วมหรือคนอยากชุมนุม พื้นที่ตรงนี้รองรับได้หมด การสร้างอุทยานฯ แห่งนี้ เหมือนการปลูกต้นไม้เฉพาะถิ่นลงในพื้นที่ที่เหมาะสม จากนั้นก็ปล่อยให้มันเติบโตไปพร้อมสภาพแวดล้อม สังคมและผู้คน เป็นอุทยานเพื่อวันนี้และวันข้างหน้า" ผศ.ดร.ปริญญา กล่าว
ตัวอย่างหนึ่งในการอัพไซเคิลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ พื้นที่กว้างใหญ่กว่า 1,700 ไร่ ของมหาวิทยาลัย ไม่เคยใช้น้ำประปารดน้ำต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว น้ำที่ใช้เป็นน้ำจากลำคลองที่ไหลผ่าน และน้ำฝนที่เก็บกักไว้ ตอนนี้มีสระเก็บน้ำฝนเพิ่มอีก 4 สระ น้ำในสระจะถูกสูบขึ้นมาใช้รดน้ำต้นไม้พืชพรรณที่เพาะปลูกไว้ รวมถึงใช้ในระบบชะล้างสำหรับห้องน้ำในอาคารอุทยานฯ ในอนาคตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีแผนปลูกพืชน้ำกินได้ในสระทั้ง 4 ด้วย เราต้องการให้คนในและคนนอกเข้ามาใช้พื้นที่สวนในอาคารนี้ ต้องการให้มันใช้งานได้หลากหลาย ทุกคนไม่ว่ามาจากไหนก็มีสิทธิ์ที่จะใช้ เพื่อให้นักศึกษารู้จักการแบ่งปันและการอยู่ร่วมกัน เป็นทั้งสวนสาธารณะ เป็นทั้งที่ผลิตพลังงาน ที่ผลิตแหล่งอาหาร เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องการเกษตร การเกษตรกับการเรียนจะได้มาเป็นจังหวะเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง
รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต อธิบายว่า "อาคารป๋วย 100 ปี เกิดขึ้นเพื่อให้บริการประชาชน มุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภัยธรรมชาติเกิดถี่มากขึ้นรุนแรงขึ้น เพราะเราทำลายสิ่งแวดล้อม เราทำโซลาร์เซลล์บนหลังคา ทำรถไฟฟ้า ลดปริมาณการใช้ขยะให้เป็นศูนย์ มีเรื่องการจัดการขยะ ดูแลต้นไม้ใหญ่ ที่นี่จะเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการการเรียนรู้การพัฒนาอย่างยั่งยืนและให้บริการกับประชาชน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
สวนหลังคาช่วยลดความร้อนเข้าในอาคารได้ 30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ใช้ไฟฟ้าและปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง เป็นหลังคาสีเขียวที่กินได้ เปลี่ยนแปลงเกษตรกรรมไทยที่เต็มไปด้วยสารพิษ กินแล้วเป็นมะเร็ง สาเหตุการตายมากที่สุดของคนไทย มาเป็นการทำนาขั้นบันไดและปลูกผักออร์แกนิค พื้นที่ 80 ไร่นี้จะกลายเป็นสวนสาธารณะให้บริการประชาชน ต่อไปเราจะเปลี่ยนแปลงให้ธรรมศาสตร์เป็นอาหารออร์แกนิคทั้งหมด ปกติผักจากตลาดกว่าจะมาถึงใกล้ที่สุด 10 กิโลเมตร ปล่อย pm2.5 และก๊าซเรือนกระจกมากมาย แต่พอเราปลูกที่นี่ กินที่นี่ ก็ไม่มีมลภาวะเกิดขึ้นอีกต่อไป เราจะปลูกต้นไม้ให้มากที่สุดที่สวนแห่งนี้ เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ลดสาเหตุโลกร้อนให้มากที่สุด
เรามาทำให้รัฐบาลดู บนหลังคาแห่งนี้ เรามีแปลงให้ท่านปลูก มีตลาดให้ท่านจำหน่าย ชาวโลกกำลังตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยต้องเป็นครัวโลกที่ปลอดภัย”
การเปลี่ยนแปลงโลกโดยลำพังคนเดียวไม่มีทางสำเร็จได้ แต่ถ้าจับมือกัน ทุกภาคส่วน แม้จะไม่ใช่การเปลี่ยนโลก แต่จะทำให้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้ อย่างน้อยที่สุดคือประเทศไทยจะดีขึ้นได้อย่างแน่นอน ที่สำคัญ หัวใจของการอยู่ร่วมกัน คือ การแบ่งปันพื้นที่ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน การอยู่ร่วมกันก็จะน่าอยู่มากขึ้น







