'ธุรกิจเฮลท์แคร์' หมดยุคโตเดี่ยว แบรนด์ลุย 'คอลแลป' เสริมแกร่ง

'ธุรกิจเฮลท์แคร์' หมดยุคโตเดี่ยว แบรนด์ลุย 'คอลแลป' เสริมแกร่ง

ภาคเอกชนมั่นใจ“เฮลท์แคร์” สดใสเติบโตต่อเนื่อง ติดท็อป 1-2 ดาวรุ่งทุกปี แต่หวั่น 3 ปัจจัยลบภายนอก-ภายในฉุดรั้ง ขณะที่แบรนด์ลุย “คอลแลป” เสริมแกร่งธุรกิจรับเทรนด์เวลเนส-ลองจิวิตี้ หมดยุคโตเดี่ยว  

ปี 2569 “ธุรกิจสุขภาพ”หรือเฮลท์แคร์ ยังเป็นความหวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตามเมกะเทรนด์ทั้งเรื่องเมดิคัล (Medical) เวลเนส (Wellness) และลองจิวิตี้ (Longevity) ภาพรวมเติบโตอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความท้าทายจากภายนอกและภายในที่จะเป็นปัจจัยเชิงลบ โดยภาคธุรกิจจะมุ่งเน้นการคอลแลปกันมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพแบบอิงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า  แนวโน้มธุรกิจสุขภาพในปี 2569 ยังคงมีทิศทางที่สดใสและสามารถเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องปรับตัวอย่างมากในเรื่องของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยไทยควรเร่งหาตลาดใหม่มาทดแทน เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเดิมจากตะวันออกกลาง (Middle East) มีแนวโน้มที่จะลดจำนวนลง เนื่องจากประเทศในภูมิภาคนี้เริ่มหันมาสร้าง Medical Hub เป็นของตัวเองเพื่อรองรับคนในพื้นที่

“กลุ่มประเทศในแถบเอเชียใต้ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก เพราะใช้ระยะเวลาในการเดินทางไม่นานนักเพียงประมาณ 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น จึงเป็นโอกาสสำคัญในการเปิดตลาดใหม่ที่น่าจับตามอง และภาคเอกชนยังมีความต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไขกฎระเบียบและลดขั้นตอนความยุ่งยากซับซ้อน โดยเฉพาะระบบการทำวีซ่าสำหรับคนไข้ต่างชาติที่เดินทางมารักษาในประเทศไทย เพื่อให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวและราบรื่นมากยิ่งขึ้น”นพ.ไพบูลย์กล่าว

หวั่นปัจจัยลบฉุดรั้ง

นพ.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมในปีหน้า ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และสถานการณ์สงครามที่อาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและผู้ป่วยต่างชาติลดลง นอกจากนี้ ยังต้องเฝ้าติดตามแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นไปในทิศทางใด

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศขึ้นอยู่กับว่านโยบายด้านสาธารณสุขของรัฐบาลใหม่ จะสามารถขับเคลื่อนและผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างเป็นรูปธรรมมากน้อยเพียงใด สิ่งที่เป็นกังวล คือ ความต่อเนื่องของนโยบาย โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนชุดรัฐบาลใหม่ในอนาคต

เปลี่ยนจากยาเคมีเป็นยาชีววัตถุ  

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ว่า  บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ในเครือ ปตท. จะก้าวสู่การโฟกัสธุรกิจยามากขึ้น โดยทิศทางการพัฒนายาจะเป็นยาที่มุ่งเป้าเฉพาะจุดมากขึ้น ซึ่งการแพทย์ กับการใช้ยาและการป้องกันโรคจะไปด้วยกัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จะเป็นการรักษาในเชิงป้องกัน และการแพทย์ในเชิงมุ่งเป้า หรือความแม่นยำสูง ก็จะมามากขึ้น ที่สำคัญยาจะเริ่มเปลี่ยนจากยาเคมีเป็นยาชีววัตถุที่จะออกฤทธิ์ได้ดีและตรงจุดที่เจ็บป่วยได้มากกว่า

“ไทยเป็นอันดับ 3 ของตลาดยาในภูมิภาคอาเซียนตามจำนวนประชากร มีการเติบโตอยู่ที่ 5-7 % ต่อปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้มีความต้องการใช้ยามากขึ้น ซึ่งตัวยามุ่งเน้นที่ตัวยามีคุณภาพสูงมากขึ้น ยาทั่วๆไปที่อาจจะมีมูลค่าต่ำก็จะหายไป ถูกแทนที่ด้วยยามูลค่าสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าหากประเทศไทยไม่มีฐานการผลิตยาประเภทนี้ บวกกับไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเร็วกว่าประเทศอื่นในอาเซียน อนาคตก็จะมีค่าใช้จ่ายในด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้นกว่าประเทศอื่น” ดร.บุรณิน กล่าว

แบรนด์ลุยคอลแลปเฮลท์แคร์  

ผศ.นพ.พลกฤต ทีฆคีรีกุล Chief Executive Officer ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์และเอสเพอรานซ์ และ Chief Science Officer ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า 3-5 ปีข้างหน้าจะเห็นการเปลี่ยนจากการดูแลเมื่อป่วย มาสู่การสร้างสุขภาพก่อนป่วยมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีทั้งการตรวจยีน การวิเคราะห์สุขภาพเชิงลึก การใช้ข้อมูลเพื่อป้องกันโรคและการออกแบบแผนการดูแลเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นแนวโน้มที่สอดคล้องกับทิศทางโลกที่กำลังมุ่งสู่ Prevention and Longevity

ในเชิงธุรกิจปี 2568-2569 เห็นชัดขึ้นในเรื่องการร่วมมือกันของพาร์ตเนอร์ในวงการต่างๆ เนื่องจากภาคการเงินการลงทุนก็เริ่มเห็นว่าเฮลท์แคร์จะสร้างรายได้มากขึ้น จึงถือว่าจะมีความกลมกล่อมขึ้นของการทำพาร์ตเนอร์ชิปต่างๆ แต่ละแบรนด์มีการคอลแลปธุรกิจกันมากขึ้น โดยชูประเด็นเรื่องของการป้องกัน เพราะมีข้อมูลสุขภาพที่งานวิจัยรองรับมากขึ้น ทำให้หลายภาคส่วนสามารถดึงเรื่องของวิทยาศาสตร์เข้าไปประกอบได้มากขึ้น บวกกับคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญและสนใจค้นหาข้อมูลความรู้เรื่องสุขภาพมากขึ้น

“จะเป็นการนำ AI เข้ามาดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่แตกต่างจากเดิม โดยมีการแตะขาทำพาร์ตเนอร์ชิปกับเวลเนสโอเปอเรเตอร์ หรือผู้ให้บริการด้านธุรกิจสุขภาพแบบองค์รวมเช่น สายการบิน โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ รวมถึง Mindfulness อาหารเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายจะเป็นฟิตเนสที่ดึงเรื่องของสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง มีการตรวจประเมินก่อนและหลังออกกำลังกาย เป็นต้น ซึ่งคนรุ่นใหม่หากไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์มารองรับจะไม่เอาเลย ทำให้แบรนด์มีการคอลแลปและร่วมมือกันมากขึ้น” ผศ.นพ.พลกฤตกล่าว

เกษมราษฎร์คอลแลปร้านอาหาร

นายกันตพร หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จํากัด (มหาชน) หรือ BCH กล่าวว่า ธุรกิจเฮลท์แคร์มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ติด Top 1-2 ธุรกิจดาวรุ่งทุกปี ซึ่งภาพรวมตลาดสุขภาพจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ปีละประมาณ 2 ดิจิต (digit) 

สำหรับ BCH ในปี 2569 เตรียมคอลแลปกับแบรนด์ร้านอาหารสุขภาพชื่อดัง เปิดตัวธุรกิจเสริมอาหาร นำร่องกลุ่มโปรตีน โดยพาร์ตเนอร์ร้านอาหาร มีจุดแข็งด้านสินค้าออร์แกนิก และ BCH มีจุดแข็งด้านการรักษาสุขภาพและความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ตั้งเป้าขยายโรงพยาบาลให้ครบ 20 แห่งภายในปี 2571-2572 จากปัจจุบันมีจำนวน 16 แห่ง