'อินโนบิก' เครือปตท. รีแบรนด์โฟกัสธุรกิจยา มุ่งเป้ากลุ่มโรคNCDs

“อินโนบิก” กลุ่มธุรกิจใหม่เครือ ปตท. เผยผลลงทุนใน “โลตัส ฟาร์มาซูติคอล” มูลค่าเติบโต 3 เท่า รีแบรนด์รุกธุรกิจยา มุ่งกลุ่มยาโรคNCDs ควบคู่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตั้งเป้าผู้นำ “ศูนย์กลางความร่วมมืออุตฯสุขภาพในอาเซียน”
เทรนด์สุขภาพ กลายเป็นโอกาส ที่ไม่ใช่แค่เม็ดเงินในการลงทุน แต่เป็นการก้าวไปอีกขั้นของวงการวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด บริษัทใน เครือ ปตท. จำกัด (มหาชน) จึงได้จัดงาน Innobic Life Science Business Excellent Move Forum งานสัมมนาครั้งใหญ่ เพื่อประกาศจุดยืนทางธุรกิจ และทิศทางการเติบโตในอนาคต สร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพให้คนไทย ซึ่งปัจจุบันดำเนินการ 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจยา, กลุ่มธุรกิจโภชนาการเพื่อสุขภาพ, กลุ่มธุรกิจการลงทุน และ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2568 ที่โรงแรมพูลแมน บางกอง คิง พาวเวอร์(รางน้ำ) ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้วในปีพ.ศ. 2563 “อินโนบิก” ก่อตั้งขึ้นในฐานะ New S-Curve ของ ปตท. โดยเล็งเห็นว่า ธุรกิจ Life Science เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลก และ New S-curve ที่สำคัญสำหรับประเทศไทยที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ บนฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
“อินโนบิก วางจุดยืนของตัวเองที่แตกต่างจากผู้เล่นระดับภูมิภาครายอื่น คือเราให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและความร่วมมือกับผู้ผลิต, โรงพยาบาล, และองค์กรวิจัยต่างๆ เพื่อสร้างข้อได้เปรียบเชิงธุรกิจและความแตกต่างจากคู่แข่ง เน้นในเรื่องของความรวดเร็วและขนาดของธุรกิจที่แข่งขันได้ นำความรู้ความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาสู่ประเทศไทย”ดร.บุรณินกล่าว
มูลค่าจากลงทุนโต 3 เท่า
ในส่วนของธุรกิจการลงทุน ที่ผ่านมาลงทุนใน บริษัท โลตัส ฟาร์มาซูติคอล จำกัด (Lotus Pharmaceutical Co., Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่ายยาของไต้หวัน ที่มีตลาดครอบคลุมในทุกภูมิภาคของโลก จากเงินลงทุนเริ่มต้น ปัจจุบันมูลค่าตลาดได้เติบโตถึง 3 เท่า สะท้อนผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ในการลงทุนได้บริษัท อดัลโว ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Lotus มาด้วย โดยซื้อมาในมูลค่าประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ และในปี 2567 อินโนบิกได้ขายบริษัทนี้ไปในมูลค่า 6 เท่าของราคาที่ซื้อมา
สำหรับในปีนี้ Lotus ได้เดินหน้ารุกตลาดผลิตภัณฑ์ยาเฉพาะทางในสหรัฐฯ ผ่านการเข้าซื้อหุ้นใน Alvogen US โดยใช้เงินทุนและเงินกู้ของบริษัทเอง ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ทำให้ขนาดของกิจการขยับเป็นบริษัทยา Branded Generics Drug 1 ใน 20 อันดับแรกของโลก และจะทำให้ Lotusโตขึ้นไปกว่านี้อีก 2 เท่า และไม่ได้ผลกระทบจากนโยบายประธานาธิบดีทรัมป์ในเรื่องที่หากจะขายยาในอเมริกาจะต้องมีโรงงานยาอยู่ในอเมริกา เนื่องจาก Alvogen US มีโรงงานอยู่ในอเมริกา
โฟกัสธุรกิจยา 80 %
“Lotus เป็นฐานสำคัญในธุรกิจยาของอิน การลงทุนนี้ทำให้อินโนบิกมีตัวตนอยู่ในระดับภูมิภาคและระดับโลก เป็นตัวเร่งความเร็ว ให้เข้าสู่แพลตฟอร์ม ยาครบวงจร เนื่องจากมีพันธมิตรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และโครงสร้างธุรกิจที่แข็งแรงรองรับด้วย ขณะเดียวกันยังนำยาคุณภาพดีจากในประเทศและต่างประเทศมาช่วยเพิ่มคุณภาพในการรักษา และอินโนบิกก็จะมุ่งเป้าไปที่ธุรกิจยา น่าจะราว 80 %”ดร.บุรณินกล่าว
ไม่เพิ่มทุน ต้องself financing
ดร.บุรณิน กล่าวด้วยว่า ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงเทรนด์เทคโนโลยีและสุขภาพ ทำให้เราต้องเร่งพัฒนาตนเอง เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ด้วยการสร้างนวัตกรรมที่ทันสมัย ยาที่มีคุณภาพ ในราคาที่จับต้องได้ ทั้งจากในและต่างประเทศ เพื่อทำให้คนไทยเข้าถึงได้ เชื่อว่าการอยู่เคียงข้างคนไทย ไม่ได้หมายถึงแค่การเป็น ผู้จำหน่ายยา หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น แต่คือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ด้าน Life Science ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนได้อย่างยั่งยืน
“มีเป้าหมายให้อินโนบิกเติบโตในระดับโลก โดยจะไม่มีการเพิ่มทุนไปกว่านี้แล้ว แต่จะต้อง self financing ส่วนEnd Game อยากให้คนไทยเป็นเจ้าของ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น”ดร.บุรณินกล่าว
รีแบรนด์เร่งเติบโต
ด้านดร. ณัฐ อธิวิทวัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด กล่าวว่า อินโนบิกเริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2020 มีทุนจดทะเบียน 13,564 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของ ปตท. องค์กรด้านพลังงานแห่งชาติ ที่ถือหุ้น 100% เมื่อผ่านมา 5 ปีจึงรีแบรนด์ เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) ให้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เพราะแบรนด์แข็งแรงขึ้นเท่ากับว่าการขยายตลาด และการเติบโตของธุรกิจในระยะถัดไปก็ทำได้รวดเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการปรับแบรนด์ ที่ไม่ได้เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการยกระดับการดำเนินงานทั้งเชิงกลยุทธ์และเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอินโนบิก
และสะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กรในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสุขภาพของประเทศ ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของประชาชน ตั้งแต่การป้องกัน การรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟู รองรับการเติบโตในระดับภูมิภาค และเปิดโอกาสร่วมทุนหรือร่วมพัฒนาธุรกิจกับพันธมิตรชั้นนำทั้งในและต่างประเทศด้วย
พุ่งเป้าธุรกิจยา-เสริมอาหาร
การที่อินโนบิกรีแบรนด์ทำให้มีความชัดเจนและโฟกัสมากขึ้น สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่วางไว้ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยก้าวต่อไปจะโฟกัสที่ธุรกิจยามากขึ้น เป็นแกนหลักในการเติบโต ครอบคลุมกลุ่มยาสำหรับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต อาทิ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน
ในปีนี้มีการนำเข้ามาจำหน่ายแล้ว 2 ตัว คือ ยามะเร็งและยาเบาหวาน ส่วนในปีหน้าจะมีการเพิ่มเติมยามะเร็งและ personal care อีกราว 5 ตัว ควบคู่กับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยมีพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการจำหน่าย ทำให้สามารถขยายตลาดได้วงกว้างมากขึ้น
ศูนย์กลางฯอุตฯสุขภาพอาเซียน
ดร.ณัฐ เน้นย้ำว่า จากธุรกิจพลังงาน ข้ามสายมาสู่ Life Science และการวางตำแหน่งใหม่ในเวทีระดับภูมิภาค อินโนบิก กำลังตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านสุขภาพสำหรับอาเซียนโดยเฉพาะ (Regional Commercial Platform) มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครบวงจร จนถึงการนำสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ ควบคู่กับการแสวงหาโอกาสร่วมลงทุนเพื่อเร่งการเติบโตตามเป้าหมาย เพื่อก้าวไปสู่ตลาดมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์
“หนึ่งในจุดแข็งที่สร้างความได้เปรียบ คือความสามารถในการเชื่อมโยงพันธมิตรระดับนานาชาติ เรานำความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากการลงทุนในบริษัท Lotus Pharmaceutical กลับมาพัฒนาทั้งตลาดไทยและขยายไปยังภูมิภาคอาเซียน สิ่งนี้เอง คือจุดที่ทำให้เราแตกต่างและก้าวได้เร็วกว่า”ดร.ณัฐกล่าว







