ลงทุน 'สเต็มเซลล์' หลักประกันสุขภาพส่วนบุคคล

ลงทุน 'สเต็มเซลล์' หลักประกันสุขภาพส่วนบุคคล

การเก็บสเต็มเซลล์กำลังกลายเป็นทางเลือกสำคัญของการวางแผนสุขภาพในอนาคต เพราะสเต็มเซลล์อาจใช้ฟื้นฟูร่างกายได้หลากหลาย ถูกมองว่าเป็นหลักประกันสุขภาพยุคใหม่ ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่อาจเปิดทางสู่การรักษาและฟื้นฟูโรคในอนาคต

การวางแผนเพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคตกำลังถูกยกระดับไปอีกขั้น ด้วยการลงทุนจัดเก็บ "สเต็มเซลล์" หรือ "เซลล์ต้นกำเนิด" ซึ่งถูกมองว่าเป็นหลักประกันสุขภาพที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ในโลกที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้า สเต็มเซลล์คือแม่พิมพ์ต้นกำเนิดของเซลล์ ที่สามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และเจริญไปเป็นเซลล์ที่จำเพาะได้หลากหลายชนิด เช่น เซลล์สมอง เซลล์หัวใจ และเซลล์เม็ดเลือด

การมีสเต็มเซลล์ของตนเองเก็บไว้จึงเปรียบเสมือนการมี "อะไหล่" ที่พร้อมใช้ในร่างกาย ซึ่งอาจนำไปใช้ในการฟื้นฟู ซ่อมแซมร่างกาย และชะลอวัยได้ในอนาคต แม้ว่าแพทยสภาจะรับรองให้ใช้รักษา โรคเลือดและโรคทางดวงตา และสถานพยาบาลที่ให้บริการต้องมีแพทย์ที่ได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติของแพทยสภาหรือจากสถาบันที่แพทยสภารับรองในสาขาหรืออนุสาขาที่เกี่ยวข้อง แต่วงการแพทย์ยังมีความหวังในการรักษาโรคที่เกิดจากความเสื่อมหรือความเสียหายของอวัยวะอื่นๆ

ไทยขับเคลื่อนสู่ ATMPs Sandbox

ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนการวิจัยผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (ATMPs) ซึ่งรวมถึงสเต็มเซลล์ ผ่านโครงการ ATMPs Sandbox ของ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้างระบบต้นแบบการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล การสนับสนุนนี้เป็นการส่งสัญญาณถึงนักลงทุนว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมสุขภาพแห่งอนาคต และต้องการให้ผู้ป่วยไทยสามารถเข้าถึงการรักษาล้ำสมัยได้ในราคาที่เหมาะสมการลงทุนในสเต็มเซลล์ จึงเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพในระยะยาว ที่ช่วยสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับทุกคนในครอบครัว

"สเต็มเซลล์" หรือ "เซลล์ต้นกำเนิด" ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งความหวังสำคัญของโลกอนาคตและถือเป็นวิวัฒนาการการรักษาที่ก้าวหน้าทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพราะสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้อย่างทวีคูณ โดยสามารถคงคุณลักษณะเดิมไว้ได้ และยังสามารถเจริญเป็นเซลล์ที่จำเพาะชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดได้ เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นที่เหมาะสมเสมือนแม่พิมพ์ต้นกำเนิดของเซลล์มีความสามารถในการเจริญไปเป็นเซลล์หรือเนื้อเยื่อต่างๆ ได้หลายชนิด เช่น เซลล์ผิว เซลล์เนื้อเยื่อสมอง เซลล์เนื้อเยื่อหัวใจ และเซลล์เม็ดเลือด

ทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย

วงการแพทย์คาดหวังว่าจะสามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อมหรือความเสียหายของอวัยวะ เพื่อทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพในร่างกาย ตัวอย่างโรคที่แพทย์หวังว่าจะสามารถรักษาได้ในอนาคต ได้แก่ โรคพาร์กินสัน โรคสมองเสื่อม โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคเบาหวาน โรคตับแข็ง และโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ในประเทศไทยแพทยสภาได้ประกาศรับรองให้ใช้ สเต็มเซลล์ ในการรักษาอย่างเป็นทางการเพียง 2 โรคเท่านั้น คือ โรคเลือดและโรคทางดวงตา สถานพยาบาลที่ให้บริการจะต้องมีแพทย์ที่ได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติจากแพทยสภาในสาขาหรืออนุสาขาที่เกี่ยวข้อง

ใช้รักษาโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการรักษาด้วย สเต็มเซลล์ มีให้เห็นแล้วในหลายกรณี เช่น ในประเทศไทย มีการใช้สเต็มเซลล์จากไขกระดูกมารักษาโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย และได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และในประเทศฝรั่งเศสสามารถรักษาโรคโลหิตจางและโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิดได้นอกจากนี้ สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือยังถูกระบุว่าสามารถใช้รักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเลือดและอื่นๆ ได้มากกว่า 85 โรค

เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในราคาที่เหมาะสมกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำลังขับเคลื่อนการวิจัยผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medicinal Products: ATMPs) ซึ่งรวมถึงสเต็มเซลล์ ผ่านโครงการ ATMPs Sandbox เพื่อสร้างระบบต้นแบบของการผลิตและใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ขั้นสูง ที่ได้มาตรฐานสากล มีการคาดการณ์ว่าตลาดสเต็มเซลล์ทั่วโลกจะเติบโตสูงถึง 15.63 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีอยู่ที่ 9.2% ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตนี้มาจากการขยายขอบเขตงานวิจัยทางคลินิก และการค้นพบวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างสเต็มเซลล์

"ประกันสุขภาพ" เก็บสเต็มเซลล์ส่วนบุคคล

ท่ามกลางความก้าวหน้าทางการแพทย์และการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ความนิยมในการฝากเก็บสเต็มเซลล์ส่วนบุคคลเพื่อใช้เป็น "ประกันสุขภาพ" ให้แก่ตนเองและบุตรหลานในอนาคตจึงเพิ่มขึ้น ผู้คนทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย มีการฝากเก็บสเต็มเซลล์ในขณะที่ร่างกายแข็งแรงเพื่อรองรับการเจ็บป่วยในภายภาคหน้า โดยเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือขณะคลอด ถือเป็นการเก็บที่มีคุณภาพและบริสุทธิ์ที่สุด และสเต็มเซลล์จากไขมันสามารถเก็บได้ในทุกช่วงวัย

ขณะนี้ในประเทศไทยเริ่มมีบริษัทเอกชนที่ให้บริการเก็บรักษาเสต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ เพื่อเก็บไว้ให้ลูกน้อยซึ่งอาจต้องนำมาใช้รักษาโรคที่อาจจะมีเกิดขึ้นในอนาคตแล้วถือเป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ผู้ที่จัดเก็บสเต็มเซลล์จะต้องมั่นใจว่าสเต็มเซลล์ของลูกและของครอบครัวนั้นถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีที่สุด เพราะเป็นการลงทุนระยะยาวที่สร้างความมั่นคงและปลอดภัยด้านสุขภาพให้กับทุกคนในครอบครัว

อย่างเช่นการจัดเก็บ "สเต็มเซลล์" (Stem Cell) ให้กับลูกๆ ของตูน บอดี้สแลม (อาทิวราห์ คงมาลัย) และก้อย รัชวิน ที่เริ่มต้นจากบุตรชายคนแรกคือน้องทะเลและขยายไปถึงบุตรคนที่สองน้องเวลา ตั้งแต่ช่วงเริ่มตั้งครรภ์ และครอบคลุมถึงแม่ก้อย ก็มีการเก็บสเต็มเซลล์ของตนเองจากไขมันด้วยเช่นกัน โดยเลือกสถานที่จัดเก็บสเต็มเซลล์ได้มาตรฐานไม่ว่าจะเป็นห้องปลอดเชื้อ (Clean Room Class 100) ซึ่งเป็นห้องที่ใช้สำหรับการคัดแยกและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ ระบบการกรองอากาศขั้นสูง ห้องแล็บใช้เครื่องกรองขนาดใหญ่โดยมีระบบกรองอากาศผ่านตัวกรองเฮปา ฟิลเตอร์ถึง 3 ชั้น รวมถึงห้องนิรภัยความปลอดภัยสูง เพราะสเต็มเซลล์จะถูกจัดเก็บยาวนานถึง 60 ปีในห้องนิรภัยที่สามารถกันไฟไหม้ได้

ลงทุน 'สเต็มเซลล์' หลักประกันสุขภาพส่วนบุคคล

การตัดสินใจเก็บสเต็มเซลล์ส่วนบุคคลนี้คือ "การป้องกันดีกว่าการรักษา" เพราะการมีสเต็มเซลล์ของตนเองเก็บไว้ เปรียบเสมือนการมี "อะไหล่" ที่พร้อมใช้ในร่างกายตนเองซึ่งอาจนำไปใช้ในการฟื้นฟู ซ่อมแซมร่างกาย และชะลอวัยได้ในอนาคตผู้ที่วางแผนสุขภาพระยะยาว การลงทุนในสเต็มเซลล์จึงเป็นวิสัยทัศน์ที่มองเห็นคุณค่าของชีวิตอย่างยั่งยืน

4 แหล่งที่มาสเต็มเซลล์

เพื่อให้ผู้ที่สนใจการลงทุนด้านสุขภาพแห่งอนาคตสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ การทำความรู้จักกับแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ที่นิยมจัดเก็บในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องสำคัญ แหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ที่นิยมจัดเก็บและนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในปัจจุบัน ประกอบด้วย

1.) เลือดจากสายสะดือและเนื้อเยื่อสายสะดือ (Newborn Stem Cells)

  • แหล่งที่นิยมสูงสุด : เป็นที่นิยมที่สุดสำหรับการจัดเก็บส่วนบุคคลและครอบครัว เนื่องจากเป็นเซลล์ที่อ่อนวัยและบริสุทธิ์ที่สุด และเก็บได้ง่ายโดยไม่มีความเจ็บปวด
  • เลือดสายสะดือ (Cord Blood - CB) เป็นแหล่งของ HSCs (เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด) มีประโยชน์หลักในการฟื้นฟูเซลล์เม็ดเลือดและระบบภูมิคุ้มกัน โดยใช้รักษาโรคเกี่ยวกับระบบเลือด มะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องได้มากกว่า 85 โรค
  • เนื้อเยื่อสายสะดือ (Cord Tissue - CT) : เป็นแหล่งของ MSCs (เซลล์ต้นกำเนิดเนื้อเยื่อ) มีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย เช่น โรคข้อเข่าอักเสบ หรือภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน

2.) เนื้อเยื่อไขมัน (Adipose Tissue - ADSC) 

  • คุณสมบัติเด่น เป็นแหล่งของ MSCs ที่สามารถเก็บได้ทุกช่วงวัยผ่านกระบวนการดูดไขมัน 
  • การนำไปใช้ : ถูกนำไปใช้ในการชะลอวัย และด้านความงาม เช่น การฟื้นฟูผิวพรรณ ลดริ้วรอย และการเสริมความงามด้วยไขมัน

 3.) ไขกระดูก (Bone Marrow) 

  • การใช้ประโยชน์ : เป็นแหล่งดั้งเดิมและสำคัญที่ใช้ในการปลูกถ่ายไขกระดูกเพื่อรักษาโรคทางโลหิตวิทยา เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว 
  • ข้อจำกัด : กระบวนการเก็บมีความซับซ้อนและสร้างความเจ็บปวดมากกว่าการเก็บจากสายสะดือ

4.) เนื้อเยื่อฟัน (Dental Tissue) 

  •  แหล่งที่มา : นิยมเก็บจาก ฟันน้ำนม หรือฟันคุด 
  • ศักยภาพ : มีศักยภาพในการพัฒนาไปเป็นเซลล์กระดูกและเซลล์ประสาทได้ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนงานวิจัยระดับห้องทดลอง 

มาตรฐานการจัดเก็บ หลักประกันความมั่นใจ 

การตัดสินใจฝากเก็บสเต็มเซลล์ต้องมาพร้อมกับความมั่นใจในมาตรฐานการดูแล ซึ่งครอบครัวที่ลงทุนในสเต็มเซลล์มักจะพิจารณาในประเด็นสำคัญดังนี้ห้องปลอดเชื้อ (Clean Room Class 100) สำหรับการคัดแยกและเพาะเลี้ยงเซลล์ ระบบกรองอากาศขั้นสูง ใช้เครื่องกรองผ่านเฮปา ฟิลเตอร์ถึง 3 ชั้น เพื่อความบริสุทธิ์ของอากาศ ห้องนิรภัยความปลอดภัยสูง: การจัดเก็บเซลล์ถูกแช่อยู่ในห้องนิรภัยที่สามารถ กันไฟไหม้ได้ โดยบางแห่งรับประกันการจัดเก็บยาวนานถึง 60 ปี

หากเห็นถึงประโยชน์ของ "สเต็มเซลล์" และอยากเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก Medeze Group