คนสร้างเมือง หรือ เมืองสร้างคน ? ไขคำตอบได้ด้วย Mobility Data

คนสร้างเมือง หรือ เมืองสร้างคน ? ไขคำตอบได้ด้วย Mobility Data

พฤติกรรมคนเมืองคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาเมืองเชิงนโยบาย แต่ก็อาศัยข้อมูลด้านประชากรที่แม่นยำ และ Mobility Data ก็เป็นหนึ่งตัวเลือกที่ใช้งานได้จริง

ไม่ใช่แค่ศึกษาพฤติกรรมของคนเมืองเท่านั้น แต่ “Mobility Data” ยังสามารถทำมาเป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์รายละเอียดลงไปถึงโครงสร้างของคนในแต่ละเมืองเพื่อนำไปต่อยอดในอนาคตได้อีกหลายมิติ โดยเฉพาะในรูปแบบของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

และจากการวิเคราะห์ของโครงการ Dynamic Cities via Mobility Data หลากชีวิตในเมืองที่โลดแล่น ที่นำ Mobility Data หรือ ข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชากรที่สำรวจผ่านการใช้งานโทรศัพท์มือถือ ที่สำรวจใน 4 เมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา ได้นำไปสู่วงเสวนา “ทำไปให้ใครอยู่” ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการในพื้นที่มาพูดคุยเพื่อร่วมผลักดันให้เมืองขยับสู่การเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อทุกคน

แทนศร พรปัณณาภัทร กรรมการสมาคมสถาปนิกผังเมืองไทย กล่าวถึงการนำข้อมูลจาก “Mobility Data” มาใช้งานว่าตอบโจทย์การทํานโยบายเมืองได้เป็นอย่างมาก “เพราะเมื่อก่อนเวลาทำนโยบายเราต้องไปไล่ดูข้อมูลและถามคนแถวนั้น คนอยู่ตรงไหน มีคนเท่าไร

หลังจากได้ข้อมูลชุดนี้ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้นว่าจะเอานโยบายหรือแนวคิดในการพัฒนาเมืองเข้าไปใช้ได้อย่างไรบ้าง เพราะเป็นข้อมูลที่มีความแม่นยำ ทำให้มองภาพออกว่าจะมีนโยบายอะไรเกิดขึ้นและต้องไปทางไหนบ้างในอนาคต

สมมติว่าตรงไหนบ้างที่คนอยู่เยอะ ที่เราเห็นตัวข้อมูลเป็นซิตี้มาข้างบนตรงนี้ มันอาจจะมีนโยบายเข้าไปช่วยตรงนั้นได้ ถ้ามันยังขาดสวนสาธารณะอยู่ เราไปเพิ่มส่วนตรงนั้นได้ไหม เพราะคนมันเยอะในเมื่อเรามีเงินจํากัด” แทนศรอธิบาย

ด้าน อณวิทย์ จิตรมานะ Co-founder City Connext และ Hatyai Connext เล่าถึงการนำ Mobility Data มาใช้ในการทำคอนเทนต์ว่า บางทีเราอยู่ในเมืองก็อาจจะสงสัยว่าทําไมวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ในเมืองหาดใหญ่รถติดขนาดนี้ แต่พอได้เห็นข้อมูลก็ได้รู้ว่ามีใครอยู่ตรงไหนทำกิจกรรมอะไรบ้าง และที่สำคัญยังเป็นข้อมูลที่นำมาสื่อสารกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น

เพราะจากข้อเท็จจริงก็คือในสงขลามีมหาวิทยาลัยเยอะมากและตั้งอยู่ทั่วจังหวัด ทำให้นำมาคิดต่อยอดได้ว่าจะทำอย่างไรให้คอนเทนต์เชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ได้ โดยเฉพาะให้เขารู้สึกดีเวลาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสามารถเข้าถึงเมืองได้ง่ายขึ้น หรือเราสามารถดูได้ว่าควรยิงแอดคอนเทนต์ที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ไปที่จุดไหนได้บ้าง เพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาที่อยากนำเสนอได้ง่ายขึ้นและคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ดังนั้น “Mobility Data” ทำให้เราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นและประหยัดเวลาไปในตัวด้วย

สำหรับ จิรันธนิน กิติกา อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พูดถึงข้อดีของ Mobility Data ว่า “รู้สึกดีเพราะว่าผมเชื่อว่าข้อมูลมันมาจากคน คือคนกลับเข้ามาใหม่ในทุกเมือง แล้วเมืองก็ผลิตคนที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน” พร้อมอธิบายต่อว่าข้อมูลที่ปรากฏออกมาเป็นการสะท้อนความเป็นจริงของคนโดยเฉพาะข้อมูลเฉพาะกลุ่มที่เหมือนข้อมูลแบบสามมิติไม่ใช่มุมมองสองมิติเหมือนเมื่อก่อน ทำให้มองเห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลามีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

แม้แต่ในพื้นที่เดียวกันก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาทำให้ข้อมูลมีความหมายที่แตกต่างกันไป” จินดานันท์กล่าวเพิ่ม

ทั้งนี้จินดานันท์ยังมองว่าข้อมูลที่ได้มาทำให้เห็นสิ่งที่เรียกว่าจุดเด่นและจุดด้อยต่างๆ ที่สามารถนำไปต่อยอดด้านเทคโนโลยีได้ เช่น การสร้างแอปพลิเคชัน เพราะข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญกับอาจารย์มากโดยเฉพาะการเข้าถึงผู้และเข้าใจคนในตัวเมืองมากขึ้น ทำให้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาเมืองจากท้องถิ่นที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นได้จริงและยังนำไปต่อยอดในการสอนได้อีกด้วย

สำหรับ Data Playground for Human Impacts คือพื้นที่การทำงานร่วมกันเพื่อให้หน่วยงานทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคประชาสังคม และทุกภาคส่วน ได้เข้ามามีบทบาทศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนที่ของประชากรผ่าน Mobility Data และข้อมูลการใช้งานแพลตฟอร์มบริการดิจิทัล ภายใต้มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำความเข้าใจปัญหาในมุมมองใหม่ เพื่อจุดประกายให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ นำไปสู่การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และข้อเสนอแนะในการออกแบบนโยบายสาธารณะที่สอดรับกับพฤติกรรมของผู้คนในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม่นยำมากยิ่งขึ้น