'เรื่องเงิน' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน 'วิชาการเงิน'

'เรื่องเงิน' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน 'วิชาการเงิน'

ความรู้ ‘เรื่องเงิน’ สำคัญ แต่โรงเรียนไม่เคยสอน เห็นได้จากผลสำรวจความต้องการของเด็กไทย รับวันเด็กแห่งชาติ 2567 พบว่า "การเงิน การลงทุน" คือวิชาที่อยากให้มีมากที่สุด ขณะเดียวกันก็อยากให้ยกเลิกวิชาลูกเสือ รวมถึง อยากได้ห้องน้ำดีๆ

ควันหลงส่งท้ายวันเด็กแห่งชาติ 2567 ด้วยผลสำรวจนักเรียนไทยอยากได้อะไรจากระบบการศึกษา จัดทำโดย Rocket Media Lab ร่วมกับมูลนิธิ Path2Health ซึ่งได้ทำการสอบถามนักเรียนตั้งแต่ระดับ ป.1 - ม.6 รวมถึงระดับ ปวช. ทั่วประเทศ (ระหว่าง 9 – 11 ม.ค. 67) จำนวนทั้งสิ้น 1,985 คน

พบข้อที่น่าสนใจ ในประเด็นต่างๆ ดังนี้

\'เรื่องเงิน\' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน \'วิชาการเงิน\'

  • สถานที่ที่อยากให้ “ปรับปรุง” มากที่สุด : “ห้องน้ำ”

ห้องน้ำ” เป็นสถานที่ที่นักเรียนอยากให้ปรับปรุงมากที่สุด โดยตอบสูงถึง 1,388 คน คิดเป็น 69.92% รองลงมาคือ ห้องเรียน 187 คน คิดเป็น 9.42% และโรงอาหาร 156 คน คิดเป็น 7.86%

\'เรื่องเงิน\' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน \'วิชาการเงิน\'

  • “กฎที่ไม่ชอบ” มากที่สุด : “การกำหนดทรงผม”

การกำหนดทรงผม” คือ กฎของโรงเรียนที่นักเรียนไม่ชอบมากที่สุด โดยมีนักเรียนตอบข้อนี้ 990 คน คิดเป็น 49.87% รองลงมาคือ ยึดโทรศัพท์ก่อนเข้าเรียน 209 คน คิดเป็น 10.5% อันดับสามคือ ห้ามแต่งหน้า จำนวน 195 คน

\'เรื่องเงิน\' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน \'วิชาการเงิน\'

  • “การลงโทษที่ไม่ชอบ” มากที่สุด : ประจานต่อหน้าเพื่อน

การประจาน” ต่อหน้าเพื่อน เป็นสิ่งที่นักเรียนไม่ชอบให้ครูทำเพื่อเป็นการลงโทษมากที่สุด โดยมีนักเรียนเลือกตอบในข้อนี้ 777 คน คิดเป็น 39.14% รองลงมาคือการด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย จำนวน 356 คน คิดเป็น 17.93% อันดับสามคือ กล้อนผม ตัดผม จำนวน 248 คน คิดเป็น 12.49%

\'เรื่องเงิน\' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน \'วิชาการเงิน\'

  • สิ่งที่ “อยากให้มีมากที่สุด” : ลดชั่วโมงเรียนให้น้อยลง

นักเรียนอยากให้ “ชั่วโมงเรียนน้อยลง” มากที่สุด จำนวน 757 คน คิดเป็น 38.14% รองลงมาคือนักเรียนอยากใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน จำนวน 386 คน คิดเป็น 19.45% อันดับสามคือ อยากให้มีกิจกรรมประเมินครู จำนวน 231 คน คิดเป็น 11.64%

\'เรื่องเงิน\' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน \'วิชาการเงิน\'

  • “วิชาที่อยากให้ยกเลิก” มากที่สุด : ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด

วิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์” เป็นวิชาที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกมากที่สุด จำนวน 1,216 คน คิดเป็น 61.26% รองลงมาก็คือ วิชาพุทธศาสนา จำนวน 225 คน คิดเป็น 11.34% อันดับสามก็คือ วิชาหน้าที่พลเมือง จำนวน 128 คน คิดเป็น 6.45%

\'เรื่องเงิน\' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน \'วิชาการเงิน\'

  • “วิชาที่อยากให้มี” มากที่สุด : การเงิน การลงทุน

วิชา “การเงิน การลงทุน” คือ วิชาที่นักเรียนอยากให้มีมากที่สุด โดยมีนักเรียนที่เลือกตอบข้อนี้ 788 คน คิดเป็น 39.7% รองลงมาก็คือ วิชาว่าด้วยการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย จำนวน 416 คน คิดเป็น 20.96% อันดับสามก็คือ วิชาอีสปอร์ต จำนวน 396 คน คิดเป็น 19.95% แดนซ์ จำนวน 268 คน คิดเป็น 13.5% อื่นๆ จำนวน 117 คน คิดเป็น 5.89% เช่น ปฐมพยาบาลเบื้องต้น วิชาการป้องกันตัว แต่งหน้าทำผม ทำอาหาร

  • “กิจกรรมที่ไม่อยากให้มี” มากที่สุด : กิจกรรมหน้าเสาธง

กิจกรรมหน้าเสาธง” เป็นสิ่งที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกมากที่สุด จำนวน 532 คิดเป็น 26.8% รองลงมาก็คือ สมุดบันทึกความดี จำนวน 328 คน คิดเป็น 16.52% อันดับสามคือ กิจกรรมค่ายธรรมะ จำนวน 276 คน คิดเป็น 13.9%

ทั้งนี้ รายละเอียดการสำรวจ ยังแยกย่อยความต้องการที่แตกต่างกันของเด็กแต่ละช่วงวัย ได้ดังนี้

  • สถานที่ที่อยากให้ปรับปรุง

สำหรับสถานที่ที่นักเรียกอยากให้ปรับปรุงมากที่สุด พบว่า "ห้องน้ำ" เป็นสถานที่ที่นักเรียนอยากให้ปรับปรุงมากที่สุด โดยตอบสูงถึง 1,388 คน คิดเป็น 96.92% รองลงมาก็คือ ห้องเรียน 187 คน คิดเป็น 9.42% โรงอาหาร 156 คน คิดเป็น 7.86% สนามกีฬา 142 คน คิดเป็น 7.15% ห้องพยาบาล 31 คน คิดเป็น 1.56% ห้องสมุด 27 คน คิดเป็น 1.36% อื่นๆ 54 คน คิดเป็น 2.72% เช่น ห้องพักครู โดม หอประชุม โรงรถ ห้องเก็บของ และบางส่วนก็เขียนตอบว่าทุกข้อ

นอกจากนี้ยังพบว่าไม่ว่าจะเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรือ ปวช. ต่างก็เลือกให้ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่อยากให้ปรับปรุงมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายภาคก็พบว่านักเรียนทุกภาคต่างก็ลงความเห็นเหมือนกันว่าอยากให้โรงเรียนปรับปรุงห้องน้ำมากที่สุดเช่นกัน

  • กฎที่ไม่ชอบที่สุด

สำหรับคำถามว่ากฎเกณฑ์ของโรงเรียนเรื่องใดที่นักเรียนไม่ชอบมากที่สุดนั้น พบว่านักเรียนไม่ชอบให้โรงเรียนกำหนดทรงผมมากที่สุด โดยมีนักเรียนตอบข้อนี้ 990 คน คิดเป็น 49.87% รองลงมาก็คือ ยึดโทรศัพท์ก่อนเข้าเรียน เป็นจำนวน 209 คน คิดเป็น 10.5% อันดับสามคือ ห้ามแต่งหน้า จำนวน 195 คน คิดเป็น 9.82% บังคับใช้กระเป๋าของโรงเรียน 150 คน 7.56% ห้ามทำสีผม 121 คน 6.10% เล็บต้องสั้น 100 คน คิดเป็น 5.04% กำหนดรูปแบบถุงเท้า 59 คน คิดเป็น 2.97% กำหนดความยาวกางเกง/กระโปรง 29 คน คิดเป็น 1.46% บังคับใส่เสื้อซับใน 16 คน คิดเป็น 0.81% อื่นๆ 116 คน คิดเป็น 5.84% เช่น ห้ามใส่เสื้อแขนยาวเสื้อกันหนาวหน้าร้อน ห้ามใส่เครื่องประดับ

นอกจากนี้ยังพบว่าทั้งนักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ ปวช. ต่างตอบว่ากฎที่ไม่ชอบมากที่สุดคือกำหนดทรงผมเหมือนกัน ขณะที่นักเรียนทุกภาคตอบข้อนี้มากที่สุดเช่นกัน และมีความน่าสนใจว่ากฎเรื่องยึดโทรศัพท์ก่อนเข้าเรียนนั้น นักเรียนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอบข้อนี้มากที่สุดกว่าภาคอื่นๆ ในขณะที่กฎเรื่องห้ามแต่งหน้านั้นพบว่านักเรียนที่ตอบข้อนี้มากที่สุดอยู่ในภาคกลาง

  • การลงโทษของครูที่ไม่ชอบที่สุด

ส่วนคำถามที่ว่าการลงโทษแบบไหนของครูที่นักเรียนไม่ชอบที่สุด พบว่า การประจานต่อหน้าเพื่อนเป็นสิ่งที่นักเรียนไม่ชอบมากที่สุด โดยมีนักเรียนเลือกตอบในข้อนี้ 777 คน คิดเป็น 39.14% รองลงมาคือการด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย จำนวน 356 คน คิดเป็น 17.93% อันดับสามคือ กล้อนผม/ตัดผม จำนวน 248 คน คิดเป็น 12.49% ยึดโทรศัพท์ 182 คน คิดเป็น 9.17% สกอตจัมป์/วิ่งรอบสนาม 130 คน คิดเป็น 6.55% การตี 107 คน คิดเป็น 5.39% ให้นั่งตากแดด 66 คน คิดเป็น 3.32% อื่นๆ 119 คน คิดเป็น 5.99% เช่น หักคะแนนความประพฤติ เก็บเงิน/โดนปรับด้วยเงิน ยึดของ

นอกจากนี้ยังพบว่าคำตอบของนักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษาและ ปวช. เหมือนกันในอันดับหนึ่งและสอง ซึ่งก็คือ การประจานต่อหน้าเพื่อนและการด่าหยาบคาย และการประจานต่อหน้าเพื่อนยังเป็นคำตอบที่มีนักเรียนทุกเพศตอบมากที่สุดในทุกภาคอีกด้วย และเกือบทุกภาคที่นักเรียนทั้งชั้นประถมและมัธยมศึกษาตอบมาเป็นอันดับสองก็คือ การด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ยกเว้นภาคตะวันตกที่อันดับสองคือการกล้อนผม/ตัดผม ซึ่งเมื่อพิจารณาเฉพาะนักเรียนที่ตอบในเรื่องการกล้อนผม/ตัดผมจะพบว่า สูงเป็นอันดับสองในกลุ่มของนักเรียนเพศชายและ LGBTQ+ ในขณะที่เรื่องการตีนั้น นักเรียนหญิงจะตอบข้อนี้มากกว่านักเรียนเพศอื่นๆ

\'เรื่องเงิน\' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน \'วิชาการเงิน\'

  • เรื่องที่อยากให้ครูเข้าใจและช่วยเหลือมากที่สุด

ส่วนคำถามที่ว่าเรื่องที่นักเรียนอยากให้ครูเข้าใจและช่วยเหลือมากที่สุดคือเรื่องใดนั้น พบว่า เรื่องที่นักเรียนตอบมากที่สุดก็คือ อยากให้ครูเข้าใจเงื่อนไขที่ต่างกันของนักเรียนแต่ละคน เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาส่วนตัว โดยมีจำนวน 807 คน คิดเป็น 40.65% รองลงมาคือ อยากให้เข้าใจเรื่องสุขภาพจิตของนักเรียน เช่น อาการซึมเศร้า วิตกกังวล จำนวน 421 คน คิดเป็น 21.21% อันดับสามคือ ความแตกต่างทางกายภาพ เช่น รูปร่าง ความสูง สีผิว จำนวน 382 คน คิดเป็น 19.24% ความหลากหลายทางเพศ จำนวน 282 คน คิดเป็น 14.21% และอื่นๆ จำนวน 93 คน คิดเป็น 4.69% เช่น ความสามารถที่แตกต่างกันของนักเรียน การโดนบูลลี่

นอกจากนี้ยังพบว่า ทั้งนักเรียนชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ ปวช. ต่างเลือกอันดับหนึ่งเหมือนกันคือ อยากให้ครูเข้าใจเงื่อนไขที่ต่างกันของนักเรียนแต่ละคน เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาส่วนตัว และนักเรียนทุกภาคยังเลือกคำตอบว่า อยากให้ครูเข้าใจเงื่อนไขที่ต่างกันของนักเรียนแต่ละคนเหมือนกันอีกด้วย และยังมีความน่าสนใจว่านักเรียนเกือบทุกภาคที่เลือกปัญหาสุขภาพจิตมาเป็นอันดับสอง ยกเว้นภาคตะวันออกที่อันดับสองคือ ความแตกต่างทางกายภาพ ส่วนเรื่องความหลากหลายทางเพศนั้นเป็นสิ่งที่นักเรียนเพศ LGBTQ+ เลือกเป็นอันดับหนึ่ง และเกือบทุกภาค ยกเว้นนักเรียนที่เป็น LGBTQ+ ภาคใต้ ซึ่งเลือกตอบเงื่อนไขที่ต่างกันของนักเรียนแต่ละคนเป็นอันดับหนึ่งและความหลากหลายทางเพศเป็นอันดับสอง

\'เรื่องเงิน\' สำคัญ แต่รร.ไม่มีสอน วิจัยชี้ เด็กไทยอยากเรียน \'วิชาการเงิน\'

  • สิ่งที่ไม่อยากให้ครูทำมากที่สุด

คำถามที่ว่าอะไรคือสิ่งที่นักเรียนไม่อยากให้ครูทำมากที่สุด พบว่าอันดับหนึ่งคือการล้อเลียนนักเรียนด้วยเรื่องกายภาพ เพศ ชาติพันธุ์ สำเนียง จำนวน 447 คนคิดเป็น 22.52% รองลงมาก็คือ สั่งการบ้าน 400 คน คิดเป็น 20.15% พูดจาหยาบคาย จำนวน 290 คน คิดเป็น 14.61 % เลือกที่รักมักที่ชัง จำนวน 280 คน คิดเป็น 14.11% สั่งงานที่ทำให้เกิดภาระทางการเงิน 239 คน คิดเป็น 12.04% ถึงเนื้อถึงตัว 63 คน คิดเป็น 3.17% นินทานักเรียนลงโซเชียลมีเดีย 59 คน คิดเป็น 2.97% ใช้ให้ทำงานในเรื่องส่วนตัว 54 คน คิดเป็น 2.72% รับสอนพิเศษแล้วออกข้อสอบ 42 คน คิดเป็น 2.12% โพสต์คลิป/ภาพถ่ายของนักเรียนลงโซเชียลมีเดีย 32 คน คิดเป็น 1.61% และ อื่นๆ 79 คน คิดเป็น 3.98% เช่น นินทานักเรียนให้ครูคนอื่นหรือห้องอื่นฟัง สั่งงานในช่วงก่อนสอบหรือสั่งงานมากเกินไป

นอกจากนี้ยังพบว่ามีความแตกต่างกันในคำตอบระหว่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยนักเรียนชั้นประถมศึกษาพบว่า อันดับหนึ่งเป็นไม่อยากให้ครูพูดจาหยาบคาย ในขณะที่ชั้นมัธยมศึกษาเป็นล้อเลียนนักเรียนด้วยเรื่องกายภาพ ขณะที่นักเรียน ปวช. มีอันดับหนึ่งเท่ากันสองเรื่องคือ การล้อเลียนเรื่องกายภาพ เพศ ชาติพันธุ์ สำเนียง และการสั่งงานที่ทำให้เกิดภาระทางการเงิน

และเมื่อพิจารณาตัวเลือกอันดับหนึ่งของนักเรียนในแต่ละภาคก็จะพบว่ามีความแตกต่างกันไป เช่น นักเรียนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่อยากให้ครูสั่งการบ้านมากที่สุด และภาคตะวันตกเลือกข้อเลือกที่รักมักที่ชังมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนภาคที่เหลือเหมือนกันคือ ไม่อยากให้ครูล้อเลียนนักเรียนด้วยเรื่องกายภาพ เพศ ชาติพันธุ์ สำเนียง

  • สิ่งที่นักเรียนอยากให้มีมากที่สุด

ส่วนคำถามเรื่องสิ่งที่นักเรียนอยากให้มีมากที่สุด พบว่านักเรียนอยากให้ชั่วโมงเรียนน้อยลงมากที่สุด จำนวน 757 คน คิดเป็น 38.14% รองลงมาคือนักเรียนอยากใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน จำนวน 386 คน คิดเป็น 19.45% อันดับสามคือ อยากให้มีกิจกรรมประเมินครู จำนวน 231 คน คิดเป็น 11.64% แต่งชุดนักเรียนตามเพศสภาพ 189 คน คิดเป็น 9.52% มีนักจิตวิทยาในโรงเรียน 185 คน คิดเป็น 8.32% อินเทอร์เน็ตฟรี 157 คน คิดเป็น 7.91% และ อื่นๆ 80 คน คิดเป็น 4.03% เช่น ยกเลิกฎระเบียบทรงผม คาบว่าง

นอกจากนี้ยังพบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเลือกอันดับหนึ่งและสองตรงกัน ในขณะที่อันดับสาม นักเรียนชั้นประถมศึกษาเลือกอินเทอร์เน็ตฟรี ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาเลือกการประเมินครู ขณะที่ ปวช. เลือกชั่วโมงเรียนน้อยลง เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยอยากมีกิจกรรมประเมินครู เช่น โหวตครูที่ชอบประจำปี และนักจิตวิทยาในโรงเรียน

หากมองในรายภาค เรื่องอยากให้ชั่วโมงเรียนน้อยลงมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในทุกภาค ในขณะที่ส่วนใหญ่อันดับสองเป็นอยากใส่ชุดไปรเวท ยกเว้นภาคตะวันออกที่อันดับสองคืออยากให้มีกิจกรรมการประเมินครู ส่วนเรื่องแต่งชุดนักเรียนตามเพศสภาพ นั้นพบว่านักเรียนที่ตอบมากที่สุดเป็นเพศหญิง คิดเป็น 58.73% รองลงมาคือเพศ LGBTQ+ คิดเป็น 23.81%

  • กิจกรรมที่นักเรียนไม่อยากให้มีที่สุด

สำหรับคำถามที่ว่ากิจกรรมใดที่นักเรียนไม่อยากให้มีมากที่สุด พบว่านักเรียนอยากให้ยกเลิกกิจกรรมหน้าเสาธง มากที่สุด จำนวน 532 คิดเป็น 26.8% รองลงมาก็คือ สมุดบันทึกความดี จำนวน 328 คน คิดเป็น 16.52% อันดับสามคือ กิจกรรมค่ายธรรมะ จำนวน 276 คน คิดเป็น 13.9% กิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือ จำนวน 267 คน คิดเป็น 13.45% กิจกรรมสวดมนต์ จำนวน 220 คน คิดเป็น 11.08% กิจกรรมวันพ่อวันแม่ จำนวน 106 คน คิดเป็น 5.34% เวรทำความสะอาด จำนวน 98 คน คิดเป็น 4.94% กิจกรรมจิตอาสา จำนวน 82 คน คิดเป็น 4.13% อื่นๆ 76 คน คิดเป็น 3.83% เช่น กิจกรรมกีฬาสี บันทึกรักการอ่าน กิจกรรม 5 ส.

นอกจากนี้ยังพบว่ามีความแตกต่างกันในคำตอบระหว่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยนักเรียนชั้นประถมศึกษา อันดับหนึ่งเป็นยกเลิกกิจกรรมค่ายธรรมะ ยกเลิกส่วนกิจกรรมหน้าเสาธงมาเป็นอันดับสอง ในขณะที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา อันดับหนึ่งคือยกเลิกกิจกรรมหน้าเสาธง อันดับสองคือสมุดบันทึกความดี และนักเรียนเกือบทุกภาคเลือกให้กิจกรรมหน้าเสาธงเป็นกิจกรรมที่นักเรียนไม่อยากให้มีที่สุด ยกเว้นนักเรียนภาคเหนือที่เลือกกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือเป็นกิจกรรมที่อยากให้ยกเลิกมากที่สุด

  • วิชาที่อยากให้ยกเลิกที่สุด

ในคำถามที่ว่าวิชาใดที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกที่สุด พบว่าวิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ เป็นวิชาที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกมากที่สุด จำนวน 1,216 คน คิดเป็น 61.26% รองลงมาก็คือ วิชาพุทธศาสนา จำนวน 225 คน คิดเป็น 11.34% อันดับสามก็คือ วิชาหน้าที่พลเมือง จำนวน 128 คน คิดเป็น 6.45% วิชาชุมนุม/ชมรม จำนวน 127 คน คิดเป็น 6.40% นาฏศิลป์ จำนวน 122 คน คิดเป็น 6.15% พลศึกษา จำนวน 40 คน คิดเป็น 2.02% อื่นๆ 127 คน คิดเป็น 6.4% เช่น แนะแนว คณิตศาสตร์ กระบี่กระบอง

นอกจากนี้ยังพบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเลือกอันดับหนึ่งคือวิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ เป็นวิชาที่นักเรียนอยากให้ยกเลิกมากที่สุด โดยแตกต่างกันที่อันดับสอง นักเรียนชั้นประถมศึกษาเลือกวิชาชุมนุม/ชมรม และมัธยมศึกษาเลือกวิชาพุทธศาสนา ในส่วนของรายภาคนั้นพบว่าเหมือนกันทุกภาคคือนักเรียนทุกภาคเลือกอันดับหนึ่งเหมือนกันคือยกเลิกวิชาลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด บำเพ็ญประโยชน์ ส่วนอันดับสองนั้นเกือบทุกภาคเลือกวิชาพุทธศาสนา ยกเว้นภาคใต้ที่เลือกวิชาชุมนุม/ชมรม ในส่วนคนที่อยากให้ยกเลิกวิชานาฏศิลป์นั้น พบว่าเป็นนักเรียนเพศหญิงเป็นสัดส่วนมากที่สุด 59.02% รองลงมาคือผู้ชาย 36.89% และวิชาพลศึกษาพบว่านักเรียนหญิงอยากให้ยกเลิกมากที่สุด 80%

  • วิชาที่อยากให้มีที่สุด

คำถามสุดท้ายที่ถามว่า วิชาใดที่นักเรียนอยากให้มีมากที่สุด พบว่า คือ การเงิน การลงทุน โดยมีนักเรียนที่เลือกตอบข้อนี้ 788 คน คิดเป็น 39.7% รองลงมาก็คือ วิชาว่าด้วยการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย จำนวน 416 คน คิดเป็น 20.96% อันดับสามก็คือ วิชาอีสปอร์ต จำนวน 396 คน คิดเป็น 19.95% แดนซ์ จำนวน 268 คน คิดเป็น 13.5% อื่นๆ จำนวน 117 คน คิดเป็น 5.89% เช่น ปฐมพยาบาลเบื้องต้น วิชาการป้องกันตัว แต่งหน้าทำผม ทำอาหาร

นอกจากนี้ยังพบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาเลือกวิชาการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็คือวิชาอีสปอร์ต ส่วนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาเลือกวิชาการเงิน การลงทุน มาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาก็คือวิชาอีสปอร์ต นักเรียนทุกภาคเลือกวิชาการเงิน การลงทุน มาเป็นอันดับหนึ่งเหมือนกัน ส่วนอันดับสอง คือ วิชาว่าด้วยการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย มีภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ขณะที่ภาคกลาง กลางเหนือ ภาคตะวันตก เลือกวิชาอีสปอร์ตเป็นอันดับสอง