กฎหมายใหม่นิวยอร์ก นายจ้างต้องเปิดเผย "เงินเดือน" ป้องกันการเลือกปฏิบัติ

กฎหมายใหม่นิวยอร์ก นายจ้างต้องเปิดเผย "เงินเดือน"  ป้องกันการเลือกปฏิบัติ

"นิวยอร์ก" บังคับใช้กฎหมายใหม่ "กฎหมายเงินเดือนโปร่งใส" (Pay Transparency Law) นายจ้างต้องเปิดเผย "เงินเดือน" ในใบสมัคร เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ

1 พ.ย. ที่ผ่านมา นครนิวยอร์ก ของสหรัฐ บังคับใช้ “กฎหมายเงินเดือนโปร่งใส” (Pay Transparency Law) กฎหมายฉบับใหม่ ที่ระบุให้นายจ้างต้องระบุช่วงของเงินเดือนตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุด โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งและการย้ายงาน ในประกาศรับสมัครงาน ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ ใบปลิวที่แจกตามงานจัดหางาน รวมไปถึงเว็บไซต์หางานต่าง ๆ เช่น LinkedIn, Glassdoor, Indeed

อย่างไรก็ตาม ในกฎหมายฉบับดังกล่าว ระบุให้เปิดเผยเฉพาะ “ฐานเงินเดือน” ไม่ว่าจะเป็นแบบรายปีหรือรายชั่วโมง แต่ไม่ได้กำหนดให้นายจ้างต้องใส่สวัสดิการต่าง ๆ เช่น ประกันสุขภาพ วันลา เงินชดเชย ค่า OT ค่าคอมมิชชัน ทิป โบนัส หุ้น กองทุนเกษียณของสหรัฐอเมริกา และค่าตอบแทนประเภทอื่น ๆ

อีกทั้ง จะต้องระบุเป็นตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงและไม่สามารถบอกแบบปลายเปิดได้ เช่น 15-30 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ไม่ใช่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงขึ้นไป

 

  • กฎหมายนี้ครอบคลุมใครบ้าง

กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้บริษัทที่มีจำนวนพนักงานตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป ซึ่งนับรวมนายจ้างหรือเจ้าของแล้ว และต้องมีพนักงานอย่างน้อย 1 คนทำงานอยู่ในนิวยอร์ก โดยกฎหมายนี้ให้ความครอบคลุมทั้งการจ้างงานประจำ เต็มเวลา และงานพาร์ตไทม์ พนักงานฝึกงาน คนทำงานบ้าน ผู้รับเหมาอิสระ หรือคนงานประเภทอื่นๆ ที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายสิทธิมนุษยชนแห่งนครนิวยอร์ก (New York City Human Rights Law)

ที่สำคัญ คือ  กฎหมายนี้ครอบคลุมที่ ตำแหน่ง หรือ พื้นที่ที่ตัวพนักงานทำงานอยู่ โดยไม่ว่าธุรกิจนั้นจะให้พนักงานทำงานจากที่พัก หรือที่ใดก็ตามภายใน “นิวยอร์ก” แม้ว่าธุรกิจนั้นจะไม่ได้ตั้งอยู่ในนิวยอร์กก็ตาม 

แต่ในขณะเดียว แม้ว่านายจ้างจะมีสถานที่ตั้งธุรกิจในนิวยอร์กที่ประกาศรับสมัครงาน แต่ถ้าเป็นงานที่ทำ “นอกเมือง” ก็จะไม่ต้องระบุเรื่องเงินเดือน

บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งเริ่มใส่ฐานเงินเดือนลงในประกาศรับสมัครตั้งแต่ก่อนวันที่ 1 พ.ย. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาจจะต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน เนื่องจากมีทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมในการปฏิบัติในทันทีเหมือนบริษัทขนาดใหญ่

หากบริษัทไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้สมัครงานและพนักงานสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนของเมืองแบบไม่ระบุตัวตนได้ โดยบริษัทที่ถูกร้องเรียนจะต้องแสดงอัตราเงินเดือนในประกาศภายใน 30 วัน หากไม่ปฏิบัติตามมีสิทธิ์ถูกปรับสูงถึง 250,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 9 ล้านกว่าบาท

 

  • กฎหมายที่จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของประเทศ

แม้ว่ากฎหมายนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีการเรียกร้องกันอยู่ตลอดมา และมีใช้อยู่แล้วในรัฐโคโรลาโด อีกทั้งกฎหมายดังกล่าวเคยถูกเลื่อนบังคับใช้จากเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากมีหลายบริษัทร้องเรียน

โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าวัตถุประสงค์ของกฎหมายนี้ คือ เพื่อช่วยลดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและเพศของนายจ้างที่มีต่อลูกจ้าง ซึ่งส่งผลให้พนักงานแต่ละคนได้รับเงินเดือนไม่เท่ากัน ถึงแม้ว่าจะทำงานในตำแหน่งเดียวกันก็ตาม โดยเฉพาะกับผู้หญิงและคนผิวสี 

ปัจจุบัน กฎหมายนี้เริ่มใช้บังคับแล้วในนครนิวยอร์ก และเตรียมจะบังคับใช้ทั่วรัฐนิวยอร์ก และแคลิฟอร์เนียภายในปีหน้า รวมถึงจะกลายเป็นบรรทัดฐานในการประกาศหางานทั่วสหรัฐต่อไปในอนาคต

แม้ว่าจะเป็นเรื่องปวดหัวในการบริหารสำหรับธุรกิจ แต่นโยบายความโปร่งใสในการจ่ายเงินเดือนก็เป็นสิ่งที่พนักงานส่วนใหญ่ต้องการ

“ผมคิดว่าหัวหน้า HR ส่วนใหญ่ต้องการความโปร่งใสมากขึ้นในการจ่ายเงินเดือน ซึ่งส่งผลดีกับพนักงานและส่งผลดีต่อองค์กรโดยรวม แม้ว่าจะทำได้ยากกับผู้บริหารก็ตาม” โทนี กัวดาญี (Tony Guadagni) หัวหน้าอาวุโสฝ่ายวิจัยของ Gartner บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก

 

  • กฎหมายที่ส่งผลดีกับบริษัท

จากผลวิจัยล่าสุดของ Payscale บริษัทรวบรวมข้อมูลและผลิตซอฟต์แวร์สำหรับค่าชดเชย ระบุว่า การเปิดเผยค่าแรงหรือเงินเดือนแก่พนักงาน เป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดในการมีส่วนร่วมของพนักงาน เนื่องจากพนักงานต้องการรู้ว่าตนเองนั้นมีค่ากับบริษัท และพนักงานส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับค่าตอบแทนอย่างยุติธรรมหรือไม่

นอกจากนี้ รายงานยังพบว่า กว่า 57% ของผู้ที่ได้รับเงินในระดับเฉลี่ยของเงินเดือนทั่วไป (paid at market) คิดว่า ตนเองได้รับเงินเดือนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ขณะที่ 72% ของที่ได้รับเงินต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (paid below market) เชื่อมั่นว่าพวกเขาได้รับเงินต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอย่างแน่นอน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโดยทั่วไปแล้วพนักงานมักจะเข้าใจว่าตนเองได้เงินต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเสมอ

ขณะที่รายงาน “Women in the Workplace” ของ McKinsey & Company บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการ ระบุว่า รายได้ของ “หัวหน้างานผู้หญิง” ที่เปลี่ยนงานใหม่มีอัตราสูงกว่าหัวหน้างานผู้ชาย และสูงที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมา อีกทั้งยังระบุว่า ผู้หญิงเหล่านี้จะมีคุณค่าเป็นอย่างมากกับสถานที่ทำงานที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม การมีส่วนร่วม และพร้อมสนับสนุนพวกเธอ

เมื่อเหล่าผู้บริหารหญิงสงสัยว่าพวกเธอไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม พวกเธอจะลาออกและหางานที่ให้ค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อในความคิดของพวกเธอ 

ดังนั้นการแสดงความโปร่งใสของเงินเดือนอาจกลายเป็นข้อได้เปรียบทางการตลาดสำหรับบริษัท อีกทั้งยังสร้างความน่าเชื่อถือและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานได้อีกด้วย

 

ที่มา: CNBC, Fortune, MSNBC