ก.ล.ต.เชือดหนัก! ส่งท้ายปี กล่าวโทษ 8 บริษัทรวด รวมผู้กระทำผิด 76 ราย ต่อ DSI และ ปปง.

ก.ล.ต.เชือดหนัก! ส่งท้ายปี กล่าวโทษ 8 บริษัทรวด รวมผู้กระทำผิด 76 ราย ต่อ DSI และ ปปง.

ก.ล.ต. และ ตลท. เชือด 8 บริษัทจดทะเบียน ส่งท้ายปี 2568 พร้อมกล่าวโทษผู้กระทำความผิด 76 ราย ต่อ DSI และ ปปง.

KEY

POINTS

  • THG (บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป): กล่าวโทษ 14 ราย กรณีร่วมกันสร้างราคาหุ้น
  • JKN (บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป): กล่าวโทษ 12 ราย กรณีทุจริต ตกแต่งงบการเงิน และขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน
  • TFG (บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป): ลงโทษทางแพ่ง 6 ราย กรณีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น
  • SF (บมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์): ลงโทษทางแพ่ง 7 ราย กรณีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น
  • SA (บมจ.ไซมิส แอสเสท): กล่าวโทษ 8 ราย กรณีร่วมกันสร้างราคาหุ้น
  • COMAN (บมจ.โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล): กล่าวโทษ 9 ราย กรณีร่วมกันสร้างราคาหุ้น
  • OTO (บมจ.วันทูวัน คอนแทคส์): กล่าวโทษ 18 ราย กรณีร่วมกันสร้างราคาหุ้น
  • MSC (บมจ.เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น): ลงโทษทางแพ่ง 2 ราย กรณีร่วมกันสร้างราคาหุ้น

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) เชือด 8 บริษัทจดทะเบียน ส่งท้ายปี 2568 พร้อมกล่าวโทษผู้กระทำความผิด 76 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. (ข้อมูลตั้งแต่ 25 - 29 ธ.ค.2568) 

ก.ล.ต.กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 14 ราย ปมสร้างราคาหุ้น THG

ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษผู้กระทำความผิดจำนวน 14 ราย ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ในกรณีร่วมกัน สร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้น บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG พร้อมรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้แก่

(1) นายบุญ วนาสิน (2) นางจารุวรรณ วนาสิน (3) บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด (4) นางสาวจิดาภา พุ่มพุฒ (5) นางสาวลภัสรดา พุ่มพุฒ (6) นางสาวศิวิมล จาดเมือง (7) นางสุดจิตร เมืองเกษม (8) พล.ต.ต.อภิสิทธิ์ เมืองเกษม (9) นายวิชัย ทิพย์ใจเอื้อ (10) นางสาววิไลวรรณ ธนะสุธีระชัย (11) นายบวร รุ่งเรืองเนาวรัตน์ (12) นางสาวนวันวัจน์ โตเจริญนิวัติศัย (13) นายเอกชัย ตั้งสัจจะธรรม และ (14) นางจิรวรรณ บุญโชคช่วย ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในด้านส่วนตัวและด้านการเงิน
 

โดย ก.ล.ต.ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2565 – ปี 2567 และดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมพบพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งมีความสัมพันธ์กันทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้ร่วมกันหรือสนับสนุนกันในการกระทำความผิดในช่วงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 ถึง 28 สิงหาคม 2566 รวมระยะเวลา 369 วันทำการ

ทั้งนี้ ลักษณะการกระทำผิดมีพฤติกรรมการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง อาทิ การส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อผลักดันราคา การตั้งคำสั่งซื้อหลายระดับราคาเพื่อกดดันให้นักลงทุนรายอื่นต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้น รวมถึงการจับคู่ซื้อขายระหว่างกันเอง ส่งผลให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้น THG และทำให้ราคาหุ้นเบี่ยงเบนไปจากสภาพปกติของตลาด

อย่างไรก็ตาม หลังจาก ก.ล.ต.กล่าวโทษแล้ว กระบวนการต่อไปจะอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวน การพิจารณาสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ และการพิจารณาคดีของศาล โดย ก.ล.ต.จะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด 

THG แจงกรณี ก.ล.ต.กล่าวโทษ 14 ราย ยันไม่กระทบธุรกิจ

บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทได้รับทราบประกาศข่าวของสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ฉบับที่ 388/2568 วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2568 กล่าวโทษผู้กระทําความผิด 14 ราย ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)

กรณีสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้น บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) (THG) พร้อมทั้งรายงานการดําเนินการต่อสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยมีชื่อ นางจารุวรรณ วนาสิน กรรมการบริษัท และบุคคลที่เกี่ยวโยง รวมอยู่ด้วย ซึ่งบริษัทจะพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าเรื่องดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อการดําเนินธุรกิจ และนโยบายของบริษัท โดยปัจจุบัน นางจารุวรรณ วนาสิน และบุคคลที่เกี่ยวโยง ไม่ได้เป็นกรรมการซึ่งมีอํานาจลงนามผูกพันบริษัทแต่อย่างใด จึงขอให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ให้ความเชื่อมั่น และไว้วางใจบริษัทว่าจะยังคงดําเนินธุรกิจและปฏิบัติตามแนวทางการกํากับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนต่อไป

ก.ล.ต.อายัดทรัพย์ 'แอน จักรพงษ์' ห้ามออกนอกประเทศ กล่าวโทษเพิ่ม 12 ราย

ก.ล.ต.ได้ขยายผลการตรวจสอบและกล่าวโทษผู้กระทำความผิดรวม 12 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงินของบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ JKN รวมถึงกรณีขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายใน พร้อมทั้งส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย

จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงปี 2565–2566 อดีตกรรมการและผู้บริหารของ JKN หลายรายได้ร่วมกันจัดทำธุรกรรมซื้อขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่ไม่มีอยู่จริง และบันทึกบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง หรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง ส่งผลให้งบการเงินและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ของบริษัทแสดงข้อมูลอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ ทำให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นเข้าใจผิดเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของบริษัท

ก.ล.ต. ยังพบเส้นทางการเงินจากค่าซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ดังกล่าว เป็นเงินประมาณ 557.63 ล้านบาท ถูกโอนต่อไปยังบุคคลที่น่าเชื่อว่าเป็นนอมินี เพื่อนำไปซื้อหุ้นและหุ้นกู้ของ JKN รวมถึงมีการโอนเงินบางส่วนกลับเข้าบัญชีของผู้บริหาร ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย และเข้าข่ายเป็นการทุจริต เบียดบังทรัพย์สินของบริษัทเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลที่สาม

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลและตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ในปี 2566 มีบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ JKN จำนวนหนึ่งขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายในเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยมีการใช้บัญชีซื้อขายของบุคคลอื่นเพื่อปกปิดตัวตน และหลีกเลี่ยงความเสียหายจากราคาหุ้นที่อาจปรับตัวลง การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์

จากพฤติการณ์ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง ก.ล.ต. จึงมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงินจำนวน 4 ราย เป็นการชั่วคราว พร้อมทั้งมีคำสั่งห้ามบุคคลดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรในระยะแรก และเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขยายมาตรการดังกล่าวต่อไป โดยประเมินมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 714 ล้านบาท

ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการดำเนินคดีจะเป็นไปตามขั้นตอนของการสอบสวนโดย DSI การพิจารณาสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ และการตัดสินของศาลยุติธรรม โดย ก.ล.ต. ระบุว่าจะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบังคับใช้กฎหมายและรักษาความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยอย่างเต็มที่

ก.ล.ต.ลงโทษทางแพ่ง 6 ราย คดีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น TFG–TFG-W1 ปรับ 1.12 พันล้านบาท

ก.ล.ต.ได้ดำเนินการบังคับใช้ มาตรการลงโทษทางแพ่ง กับผู้กระทำความผิดจำนวน 6 ราย กรณีซื้อหุ้นบริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG และใบสำคัญแสดงสิทธิ TFG-W1 โดยอาศัยข้อมูลภายใน หรือให้การสนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าว โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งและเงินชดใช้ผลประโยชน์รวมทั้งสิ้น 1,125,195,148.13 บาท

ทั้งนี้ ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและการตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่าในช่วงเดือน มีนาคม-สิงหาคม 2559 ผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย ซึ่งรวมถึง นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการของ TFG และ นายนัฐวุฒิ เตียวสมบูรณ์กิจ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้ซื้อหุ้น TFG และ TFG-W1 โดยใช้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปี 2559 ของบริษัท ซึ่งมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน

โดยการกระทำความผิดแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา โดยช่วงแรกระหว่างวันที่ 1 มีนาคม-12 พฤษภาคม 2559 เป็นการใช้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2559 ในการซื้อหุ้น TFG ทั้งในบัญชีของตนเองและบัญชีของบุคคลอื่น ส่วนช่วงที่สองระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม -10 สิงหาคม 2559 เป็นการใช้ข้อมูลภายในเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2559 ในการซื้อทั้งหุ้น TFG และ TFG-W1 ซึ่งมีบุคคลอื่นให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการใช้บัญชีซื้อขายดังกล่าว

คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย โดยกำหนดให้นายวินัยชำระค่าปรับและเงินชดใช้ผลประโยชน์รวมกว่า 1,122 ล้านบาท ขณะที่ผู้กระทำผิดรายอื่นถูกสั่งปรับตั้งแต่ 333,333 บาท ถึง 1 ล้านบาท ตามระดับความเกี่ยวข้องในคดี

ทั้งนี้ หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว ก.ล.ต.จะส่งเรื่องให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดโทษในอัตราสูงสุดตามกฎหมาย โดยเงินค่าปรับและเงินชดใช้ทั้งหมดจะนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน

นอกจากนี้ การถูกลงโทษทางแพ่งในคดีดังกล่าว ส่งผลให้นายวินัยซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทจดทะเบียน เข้าข่ายเป็นบุคคลขาดความน่าไว้วางใจ และต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน เป็นระยะเวลา 40 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2568

TFG แจงหลัง ก.ล.ต.ลงโทษผู้บริหาร เผยไม่กระทบต่อธุรกิจ เตรียมประชุมบอร์ด

บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ TFG แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. เผยแพร่ข่าวการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับนายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษทั ในกรณีการใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้นของบริษัทนั้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมถึงขอคำแนะนำจากฝ่ายกฏหมายเพื่อปรึกษาหารือกับสำนักงาน ก.ล.ต.ในเรื่องนี้ต่อไป และได้รับแจ้งจากนายวินัย ว่าอยู่ในระหว่างหารือกับสำนักงาน ก.ล.ต.ในเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวและไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะเรียกประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาหารือในเรื่องดังกล่าวและพิจารณาแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป โดยบริษัทฯ จะดำเนินการที่จำเป็นตามที่เห็นสมควรหรือเหมาะสม เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผล กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท

โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ยังมีผู้บริหารและผู้มีอำนาจลงนามอีก 2 คน ดังนี้ 1. นายเพชร นันทวิสัย และ 2. นางสาวศิริลักษณ์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ ที่ยังคงสามารถกำกับดูแลกิจการร่วมกับคณะกรรมการของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจได้ตามปกติและมุ่งมั่นสู่การบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ได้วางเอาไว้ จึงขอให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายให้ความเชื่อมั่น และไว้วางใจบริษัท

ก.ล.ต.ลงโทษทางแพ่ง 7 ราย คดีใช้ข้อมูลภายในซื้อหุ้น SF ปรับ 8.6 ล้านบาท พร้อมห้ามนั่งกรรมการ-ผู้บริหาร

ก.ล.ต.ได้ดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 7 ราย กรณีซื้อหุ้นบริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF โดยอาศัยข้อมูลภายใน การเปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น หรือช่วยเหลือให้มีการใช้ข้อมูลภายในในการซื้อหุ้น รวมมูลค่าโทษทางแพ่งทั้งสิ้น 8,623,408 บาท พร้อมกำหนดโทษห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ระบุว่า ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ปี 2564 และตรวจสอบพบว่า ในช่วงวันที่ 11 มิถุนายน - 5 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเกี่ยวกับการที่บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN จะเข้าซื้อหุ้น SF เกิน 50% และทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) ที่ราคาหุ้นละ 12 บาท มีการซื้อหุ้น SF ในปริมาณมากผิดปกติ โดยอาศัยข้อมูลภายในดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงบวกที่มีผลต่อราคาหุ้น

โดยผู้กระทำความผิดประกอบด้วยบุคคลใกล้ชิดกับกรรมการของ MAJOR และผู้บริหารระดับสูงของ SF รวมถึงกรณีที่ผู้บริหารของ SF เปิดเผยข้อมูลภายในให้บุคคลในครอบครัวนำไปใช้ซื้อหุ้น ส่งผลให้เข้าข่ายความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน การเปิดเผยข้อมูลภายใน และการช่วยเหลือหรือสนับสนุนการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535

นอกจากนี้ คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) จึงมีมติให้ลงโทษผู้กระทำความผิดทั้ง 7 ราย ด้วยการปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พร้อมกำหนดระยะเวลาห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหาร ตั้งแต่ 9 ถึง 14 เดือน ตามความร้ายแรงของการกระทำในแต่ละราย

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะมีผลเมื่อผู้กระทำความผิดลงนามยินยอมปฏิบัติตาม หากไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะส่งเรื่องให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้ศาลกำหนดโทษในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยเงินค่าปรับและเงินชดใช้ทั้งหมดจะถูกนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป

ก.ล.ต. กล่าวโทษ 8 รายคดีปั่นหุ้น SA ส่งเรื่อง DSI-ปปง. ดำเนินคดีอาญาและฟอกเงิน

ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 8 รายต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกันสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้นบริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA พร้อมรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ก.ล.ต. ระบุว่า ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2565 และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มบุคคลทั้ง 8 รายมีความเชื่อมโยงกันทั้งด้านส่วนตัว การเงิน และการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยร่วมกันสร้างราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น SA ในช่วงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ถึง 31 มีนาคม 2565 รวม 167 วันทำการ

พฤติกรรมที่ตรวจพบ ได้แก่ การส่งคำสั่งซื้อเพื่อผลักดันราคาหุ้นให้ปรับตัวสูงขึ้น การครองคำสั่งเสนอซื้อในหลายระดับราคาเพื่อขัดขวางการซื้อขายของผู้ลงทุนรายอื่น การควบคุมราคาเปิดและราคาปิดผ่านคำสั่งซื้อขายในช่วงก่อนเปิดตลาด (Pre-open) และก่อนปิดตลาด (Pre-close) ส่งผลให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวผิดไปจากสภาพปกติของตลาด และทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น SA

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ในความผิดฐานสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ อันมีบทลงโทษทางอาญา ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษผู้กระทำผิดทั้งหมดต่อ DSI เพื่อดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวต่อ ปปง. เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยหลังจากการกล่าวโทษแล้ว กระบวนการต่อไปจะเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การพิจารณาสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ และการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรม ซึ่ง ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อไป

ก.ล.ต. กล่าวโทษ 9 รายคดีปั่นหุ้น COMAN ส่ง บก.ปอศ.-ปปง. ดำเนินคดีอาญา

ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษผู้กระทำความผิดจำนวน 9 ราย ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) กรณีร่วมกันสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้นบริษัท โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ COMAN พร้อมรายงานเรื่องต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

โดย ก.ล.ต. ระบุว่า ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และตุลาคม 2566 และจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มบุคคลทั้ง 9 รายมีความเชื่อมโยงกันทั้งด้านส่วนบุคคล การเงิน และการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยร่วมกันสร้างราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น COMAN ในหลายช่วงเวลา ได้แก่ ระหว่างวันที่ 23–24 พฤศจิกายน 2565 ระหว่างวันที่ 13 ธันวาคม 2565-27 มกราคม 2566 และระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 13 กรกฎาคม 2566 รวมทั้งสิ้นหลายสิบวันทำการ

ทั้งนี้ พฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิด ได้แก่ การส่งคำสั่งซื้อเพื่อผลักดันราคาหุ้นให้ปรับตัวสูงขึ้น การครองคำสั่งเสนอซื้อในหลายระดับราคาเพื่อกีดกันการซื้อขายของผู้ลงทุนรายอื่น การจับคู่ซื้อขายกันเองด้วยราคา ปริมาณ และช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ตลอดจนการควบคุมราคาเปิดและราคาปิด ผ่านคำสั่งซื้อขายในช่วงก่อนเปิดตลาด (Pre-open) และก่อนปิดตลาด (Pre-close) ส่งผลให้ราคาหุ้น COMAN เคลื่อนไหวผิดไปจากสภาพปกติของตลาด และทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขาย

นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ในความผิดฐานสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งมีบทลงโทษทางอาญา ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษผู้กระทำผิดทั้งหมดต่อ บก.ปอศ. เพื่อดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ได้แจ้งเรื่องต่อ ปปง. เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเข้าข่ายความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยหลังการกล่าวโทษแล้ว กระบวนการต่อไปจะเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องของพนักงานอัยการ และการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรม ซึ่ง ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อไป

ก.ล.ต. กล่าวโทษ 18 รายคดีหุ้น OTO 

ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ได้กล่าวโทษผู้กระทำความผิดจำนวน 18 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีร่วมกันสร้างราคาและ/หรือปริมาณการซื้อขายหุ้นบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เพียร์ ฟอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ PEER พร้อมรายงานการดำเนินการต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปี 2565-2566 และจากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มบุคคลทั้ง 18 รายมีความเชื่อมโยงกันทั้งด้านส่วนตัว การเงิน และการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยร่วมกันหรือสนับสนุนกันในการสร้างราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น OTO ในช่วงระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ถึง 3 พฤษภาคม 2566 รวมระยะเวลากว่า 438 วันทำการ

โดย พฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิด ได้แก่ การส่งคำสั่งซื้อเพื่อผลักดันราคาหุ้นให้ปรับตัวสูงขึ้น การเคาะซื้อด้วยปริมาณหุ้นจำนวนน้อยเพื่อกระตุ้นการซื้อขาย การครองคำสั่งเสนอซื้อ (bid) เพื่อกีดกันผู้ลงทุนรายอื่น ทำให้ต้องซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้น รวมถึงการจับคู่ซื้อขายกันเองด้วยราคา ปริมาณ และช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ตลอดจนการควบคุมราคาปิดผ่านคำสั่งซื้อหรือขายในช่วงก่อนตลาดปิด (Pre-close) ส่งผลให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวผิดไปจากสภาพปกติของตลาด และทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น OTO

นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ในความผิดฐานสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งมีบทลงโทษทางอาญา ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษผู้กระทำผิดทั้งหมดต่อ DSI เพื่อดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ก.ล.ต. ลงโทษทางแพ่ง 2 ราย คดีปั่นหุ้น MSC ปรับเกือบ 250 ล้านบาท พร้อมแบนซื้อขาย-นั่งบอร์ด

ก.ล.ต.ได้ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 2 ราย กรณีร่วมกันสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นบริษัท เมโทรซิสเต็มส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MSC โดยเรียกให้ชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่งรวมทั้งสิ้น 249,848,464 บาท พร้อมกำหนดโทษห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมถึงห้ามดำรงตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหาร

โดย ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ ฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2565 และจากการตรวจสอบพบว่า ระหว่างวันที่ 30 มีนาคม - 7 กรกฎาคม 2565 ผู้กระทำความผิด 2 ราย คือ นางสาวภรัณยา รุจนพรพจี และนายชูเกียรติ รุจนพรพจี ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันด้านความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและการเงิน ได้ร่วมกันส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น MSC ในลักษณะต่อเนื่อง เพื่อให้ราคาหรือปริมาณการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติของตลาด

ทั้งนี้ พฤติกรรมที่ตรวจพบ ได้แก่ การผลักดันราคาหุ้นอย่างต่อเนื่องจนราคาปรับตัวขึ้นหรือชนเพดานราคาในแต่ละวัน การจับคู่ซื้อขายระหว่างกัน และการส่งคำสั่งซื้อขายในราคา ปริมาณ และช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เพื่ออำพรางปริมาณการซื้อขาย ทำให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดว่าหุ้น MSC มีความคึกคัก ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคา และเพื่อพยุงมูลค่าหุ้น MSC ให้ใกล้เคียงกับมูลค่าธุรกรรมแลกหุ้น SABUY กับ TKS

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานร่วมกันสร้างราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) จึงมีมติให้ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดทั้งสองราย

โดยนางสาวภรัณยา ถูกสั่งให้ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้ผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ รวมเป็นเงิน 249,254,347 บาท พร้อมห้ามซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 14 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร 28 เดือน ขณะที่นายชูเกียรติ ถูกสั่งให้ชำระเงินรวม 594,117 บาท ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ 11 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร 22 เดือน

ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินชดใช้ผลประโยชน์จากการกระทำความผิดจะนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินต่อกระทรวงการคลัง และหากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอมปฏิบัติตาม ก.ล.ต. จะส่งเรื่องให้พนักงานอัยการฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดโทษในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป