‘หุ้นค้าปลีก’ ติดหล่มกำลังซื้อหด โบรกคาดปีหน้า ‘ธุรกิจเติบโตจำกัด’ หวังนโยบายรัฐช่วยพยุง

“กลุ่มค้าปลีก” ปีหน้าเผชิญกำลังซื้อเปราะบาง จากเศรษฐกิจในประเทศเป็นตัวฉุดสำคัญ “บล.กสิกรไทย” มองบริโภค “เอกชน” และใช้จ่ายนักท่องเที่ยวเม็ดเงินลดลง “บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล” ชี้มูลค่ากลุ่มปรับลงมาก พี/อี เคยซื้อขาย 20-30 เท่า เหลือเพียง 14 เท่า “ต่ำสุด” ในรอบหลายปี “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ปี 69 มองนักท่องเที่ยวจะทยอยกลับมาไม่น่าจะเป็นปัจจัยถ่วง
KEY
POINTS
- ธุรกิจค้าปลีกเผชิญแรงกดดันหนักจากกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเติบโตของกลุ่มค้าปลีกในปีหน้า (2569) จะยังคง “จำกัด” เนื่องจากขาดปัจจัยบวกสนับสนุนการฟื้นตัวในระยะสั้น
- ภาคธุรกิจและนักลงทุนต่างคาดหวังมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ เช่น การช่วยเหลือภาระหนี้และการพยุงเศรษฐกิจ เพื่อช่วยฟื้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
- มูลค่าหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี โดยค่า P/E ลดลงจากที่เคยซื้อขายกัน 20-30 เท่า เหลือเพียง 14 เท่า สะท้อนความกังวลของตลาด
- ยอดขายของธุรกิจค้าปลีกจะฟื้นตัวได้ดีเฉพาะช่วงที่มีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ แต่จะกลับมาทรงตัวหรือติดลบเมื่อไม่มีมาตรการสนับสนุน
ธุรกิจ “ค้าปลีกไทย” ยังเผชิญแรงกดดันหนัก สะท้อนจาก “กำลังซื้อ” ในประเทศที่อ่อนแรง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด แม้ราคาหุ้นในกลุ่มจะปรับฐานลงมา จน Valuation อยู่ใน “ระดับต่ำสุด” ในรอบหลายปี แต่เหล่า “นักวิเคราะห์” ต่างมีมุมมองว่า กลุ่มค้าปลีกยัง “ขาดปัจจัยบวก” หนุนการฟื้นตัวในระยะสั้น โดยการเติบโตในปี 2569 ยัง “คงจำกัด” และต้องรอความชัดเจนจากปัจจัยบวกภายในประเทศ รวมถึงการเมืองจะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคว่าจะฟื้นตัวได้จริงหรือไม่
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กลุ่มค้าปลีกยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังเป็นตัวฉุดสำคัญ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2569 อาจชะลอลงมาอยู่ที่ 1.6% จากคาดการณ์ 2% ในปี 2568
ขณะที่ การบริโภค “ภาคเอกชน” มีแนวโน้มลดลงจาก 2.6% เหลือเพียง 1.8% ดังนั้น ส่งผลโดยตรงต่อ “ธุรกิจค้าปลีก” โดยพบว่ายอดขายจะฟื้นตัวเฉพาะช่วงที่มีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ หรือโครงการกระตุ้นเม็ดเงินแบบเจาะจงในอดีต แต่เมื่อไร้มาตรการสนับสนุน “ยอดขาย” จึงกลับมา “ทรงตัวถึงติดลบ”
“หุ้นค้าปลีก Valuation ถูกลง ค่า P/E เหลือเพียง 13-15 เท่า ใกล้เคียงดัชนีหุ้นไทย ขณะที่ ปันผลยังอยู่เพียง 3% ต่ำกว่าหลายกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนระดับ 5-6% ทำให้แม้ราคาจะหยุดลง แต่ยังขาดปัจจัยบวกสำหรับการฟื้นในระยะสั้น”
นอกจากนี้ พฤติกรรมใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเม็ดเงินลดลงมากเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกไม่ได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวเทียบเท่าอดีต โดยกลุ่มเดียวที่ยังแข็งแรงคือ “ธุรกิจโรงแรม”
สำหรับ คำแนะนำลงทุนให้นักลงทุนรอจังหวะ และติดตาม “3 ปัจจัยหลัก” จากมาตรการรัฐใหม่ ๆ โดยเฉพาะมาตรการช่วยภาระหนี้ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญต่อกำลังซื้อ รวมถึงมาตรการพยุงเศรษฐกิจ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2569 และนโยบายปันผลว่าบริษัทค้าปลีกจะปรับเพิ่มจากระดับ 3% เป็น 4-5% เพื่อเพิ่มความน่าสนใจหรือไม่
นายไชยธร ศรีเจริญ นักวิเคราะห์กลุ่มบริการ บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมค้าปลีกว่า ปีนี้เป็นปีที่เผชิญแรงกดดันหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่าของกลุ่มปรับลดลงมาก โดยค่า P/E ซึ่งเคยซื้อขาย 20-30 เท่า ปรับลงเหลือเพียง 14 เท่า ต่ำสุดในรอบหลายปี สะท้อนความกังวลต่อกำลังซื้อที่อ่อนแอและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นใหญ่ในกลุ่ม เช่น CPALL ปรับตัวลงต่อเนื่อง ทำให้ยอดขายเดือน พ.ย. 2568 “ติดลบ” เกือบ 5% ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเซนติเมนของกลุ่มค้าปลีก ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการปรับปรุงบ้านเช่น HMPRO DOHOME และ GLOBAL ยังคงเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยนโยบายแต่การส่งผ่านไปสู่ดอกเบี้ยกู้ยืมรายย่อยยังลดลงไม่มาก ทำให้ผู้ซื้อบ้านใหม่ไม่เพิ่มขึ้น และกำลังซื้อในกลุ่มนี้ชะลอต่อเนื่อง
นอกจากนี้ โครงสร้างอสังหาริมทรัพย์เปลี่ยนไป ผู้บริโภคหันไปซื้อคอนโดมากขึ้น โดยคอนโดมักไม่ตกแต่งต่างจากบ้านเดี่ยวที่ต้องซื้อสินค้าปรับปรุงบ้าน ส่งผลให้ยอดขายสาขาเดิมของกลุ่มนี้ติดลบยาวตั้งแต่ปลายปีก่อน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนตลาดต้องการเห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวมากกว่ามาตรการแบบสั้น
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า แม้ปีนี้รายได้ของกลุ่มค้าปลีกจากนักท่องเที่ยวจะถูกกดดัน โดยเฉลี่ยคิดเป็นประมาณ 5-10% ของรายได้แต่ปีหน้ามองว่านักท่องเที่ยวจะทยอยกลับมา จึงไม่น่าจะเป็นปัจจัยถ่วงกลุ่มค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม หากมองไปข้างหน้า นักลงทุนควรจับตากลุ่มสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป
ส่วนกลุ่มสินค้าราคาสูงหรือพรีเมียม เช่น CRC อาจยังไม่โดดเด่นนัก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่เอื้อให้ผู้บริโภคจับจ่ายสินค้าในหมวดไม่จำเป็นมากนัก ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้จำหน่ายสินค้าไอทียังเติบโตได้ต่อเนื่องจากความต้องการอุปกรณ์เทคโนโลยีที่เกิดจากไลฟ์สไตล์ดิจิทัลยุคใหม่
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนให้นักลงทุนเลือกหุ้นเป็นรายตัว รวมถึงหุ้นรายใหญ่ในกลุ่มสินค้าไอที และค้าส่งขนาดใหญ่ซึ่งยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง ขณะที่หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงคือ HMPRO DOHOME และ GLOBAL เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์ยังซบเซา และกำลังซื้อของผู้บริโภคสินค้าตกแต่งบ้านยังไม่ฟื้นตัว







