ญี่ปุ่นหนี้สาธารณะสูงสุดในโลก แต่ทำไมไม่ล้มเหมือนประเทศอื่น

ญี่ปุ่นกู้ยืมเป็นสกุลเงินเยนของตนเอง ทำให้ไม่เสี่ยงต่อความผันผวนของค่าเงินเหมือนประเทศตลาดเกิดใหม่ที่พึ่งพาเงินตราต่างประเทศ เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ราว 90% เป็นคนในประเทศ เช่น สถาบันการเงิน กองทุน และธนาคารกลางญี่ปุ่น ทำให้ดอกเบี้ยที่รัฐบาลจ่ายไปไหลเวียนกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
KEY
POINTS
- ญี่ปุ่นกู้ยืมเป็นสกุลเงินเยนของตนเอง ทำให้ไม่เสี่ยงต่อความผันผวนของค่าเงินเหมือนประเทศตลาดเกิดใหม่ที่พึ่งพาเงินตราต่างประเทศ
- เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ราว 90% เป็นคนในประเทศ เช่น สถาบันการเงิน กองทุน และธนาคารกลางญี่ปุ่น ทำให้ดอกเบี้ยที่รัฐบาลจ่ายไปไหลเวียนกลับเข้ามาในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
- ภาครัฐญี่ปุ่นมี "สินทรัพย์การเงิน" จำนวนมาก เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญและการถือครองสินทรัพย์ผ่านธนาคารกลาง ทำให้เมื่อหักลบกันแล้ว "หนี้สุทธิ" ต่ำกว่าตัวเลขหนี้รวมที่เห็นมาก
- ในฐานะสังคมผู้สูงวัยที่มีเงินออมมหาศาล พันธบัตรรัฐบาลทำหน้าที่เป็น "ที่พักเงินออม" ที่ปลอดภัยสำหรับครัวเรือนและกองทุน ไม่ได้สะท้อนแค่การกู้เงินเกินตัวเพียงอย่างเดียว
แม้ญี่ปุ่นจะมีหนี้สาธารณะระดับราว 200–250% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในโลกต่อเนื่องมายาวนาน แต่กลับไม่เกิดวิกฤตการคลังแบบที่หลายคนกังวล ต่างจากหลายประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ต้องพึ่งพา IMF และเผชิญวิกฤตหนี้หลายรอบ
ข้อมูลจากทีม Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง อธิบายว่า แนวคิด “รัฐบาลที่ดีต้องไม่ขาดดุล และหนี้สาธารณะสูงคือสัญญาณล้มละลาย” เป็นมุมมองที่อาจใช้ได้กับการเงินครัวเรือน แต่ไม่ตรงกับกลไกเศรษฐกิจระดับประเทศ เพราะหน้าที่ของรัฐบาลไม่ใช่การเก็บออม แต่คือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ เช่น ในช่วงที่เอกชนระมัดระวังใช้จ่าย รัฐจำเป็นต้องยอมขาดดุลงบประมาณเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ไม่ให้ทรุดตัวแรงเกินไป
ทำไม “หนี้สูง” ไม่ได้แปลว่า “ใกล้วิกฤต”
ความต่างสำคัญของประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น คือโครงสร้างเศรษฐกิจและการเงินรองรับหนี้ได้ดีกว่าที่ตัวเลข “หนี้รวม” สะท้อนออกมา จุดแรกคือ ญี่ปุ่นกู้ยืมเป็นเงินเยนของตนเอง ไม่ได้พึ่งพาเงินตราต่างประเทศ ทำให้ไม่เสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินแบบที่ประเทศตลาดเกิดใหม่เผชิญกันบ่อยครั้ง
จุดถัดมา คือ ญี่ปุ่นไม่ได้มีแต่ “หนี้” แต่ภาครัฐยังมี “สินทรัพย์การเงิน” จำนวนมาก เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญขนาดใหญ่ การถือครองสินทรัพย์ผ่านธนาคารกลาง และสินทรัพย์การลงทุนของรัฐ เมื่อหักลบกันออกมาแล้ว หนี้สุทธิที่แท้จริงต่ำกว่าตัวเลขหนี้รวมมาก ทำให้ภาระไม่ได้หนักอย่างที่ตัวเลข Gross Debt ทำให้เข้าใจในครั้งแรก
อีกจุดแข็งสำคัญอยู่ที่ “เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นคนในประเทศ” พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นกว่าราว 90% ถูกถือครองโดยสถาบันการเงินและกองทุนภายในประเทศ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกัน และโดยเฉพาะธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ถือพันธบัตรปริมาณมาก ทำให้ดอกเบี้ยที่รัฐบาลจ่ายออกไป ไหลย้อนกลับมาเป็นรายได้ของภาครัฐในระบบบัญชี สุดท้ายภาระดอกเบี้ยสุทธิเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจจึงอยู่ในระดับต่ำกว่าที่หลายคนคาด
สังคมผู้สูงวัย = ต้องมีที่เก็บเงินออมจำนวนมหาศาล
ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมผู้สูงวัยที่มีเงินออมจำนวนมาก เงินออมเหล่านี้ต้องการที่เก็บในสินทรัพย์ปลอดภัยระยะยาว พันธบัตรรัฐบาลจึงทำหน้าที่เป็น “ที่พักเงินออม” ของครัวเรือนและกองทุน ไม่ได้สะท้อนภาพ “กู้เงินจนเกินตัว” เพียงอย่างเดียว ในมุมนี้ หนี้ของรัฐบาลจึงเป็นกลไกรองรับการออมของสังคมมากกว่าจะเป็นระเบิดเวลาทางการคลัง
โดยสรุป ทีม Wealth Research หลักทรัพย์บัวหลวง มองว่าหนี้สาธารณะญี่ปุ่นไม่อาจตีความเฉพาะจากตัวเลข % ต่อ GDP แต่ต้องมองโครงสร้างคู่กัน ทั้งสกุลเงินที่กู้ยืม เจ้าหนี้ที่เป็นคนในประเทศ สินทรัพย์ที่รัฐถืออยู่ และบทบาทของธนาคารกลาง ญี่ปุ่นจึงเป็นตัวอย่างสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า “หนี้สูง” ไม่ได้แปลว่า “ใกล้วิกฤติเสมอไป” หากโครงสร้างเศรษฐกิจและการเงินภายในประเทศแข็งแรงพอรองรับระบบหนี้นั้นได้อย่างยั่งยืน
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนใน ดัชนีญี่ปุ่น ผ่านตลาดหุ้นไทยด้วยเงินบาท สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ผ่าน DR “JAPAN1000”1 ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น Hang Seng Japan TOPIX 100 Index ETF (3410.HK) ซึ่งเป็น ETF ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี TOPIX 100 อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ JAPAN10001 ได้ที่ https://www.bualuang.co.th/Financial-Service/iNAV-lists/DR/DR01-iNAV/JAPAN10001 (ที่มา: บทวิเคราะห์ Cross Asset Strategy ตลาดหุ้นโลก ฉบับเดือน ธันวาคม 2568)







