ฮ่องกง-สิงคโปร์เปิดศึก "ชิง IPO ไทย" ปี 69 ภาวะ-สภาพคล่องกระทบต่อเนื่อง

“ตลาดไอพีโอ” ในตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นอีกปีที่เผชิญ “ภาวะตลาดหุ้นไม่เอื้อ” ส่งผลทำให้ช่วงครึ่งปีหลังเกิดปรากฎการณ์ราคาหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกต่ำจองจนทำให้เกิดคำถามถึงกระบวนการทั้งตั้งราคาและกระจายหุ้นที่เป็นสาเหตุ ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้ปี 2569 เป็นงานหนักสำหรับการระดมทุนในตลาดหุ้นไทยที่ยังเผชิญความท้าทายเพิ่มมากขึ้นทั้งผู้ออกหลักทรัพย์และนักลงทุน
“เจาะลึกกระบวนการ และปัจจัยที่มีผลต่อรราคาหุ้นไอพีโอ” นำเสนอข้อมูลไอพีโอปี 2568 ระดมทุนแล้ว 17 บริษัท แต่กลับมีสัดส่วนตามมูลค่าต่ำจองถึง 42 % ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงกว่าในอดีต โดยมีปัจจัยทั้งจาก 1.กระบวนการกำหนดราคา 2.การกระจายหุ้น 3.สภาพคล่องในตลาด และ 4. พื้นฐานของบริษัท ที่มีผลต่อการซื้อขายในตลาดหุ้น
“สมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์
โดยทุกราคาหุ้นมีราคาดีสเคาท์ตามธุรกิจเมื่อเทียบกับธุรกิจเดียวกันหรืออุตสาหกรรมเดียวกันมีจุดแข็งจุดอ่อน หรือศักยภาพในอนาคตทำรายได้มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือภาวะตลาด ดัชนีปีนี้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ การระดมทุนน้อยลงสะท้อนภาวะตลาดไม่เอื้อ บวกกับพฤติกรรมนักลงทุนไม่อยากถือยาว ไม่อยากซื้อ และต้องการขายตอนนี้เพื่อลดขาดทุน (cut loss)
หรือต้อง“คิดสั้น” เพราะกลัวหากราคาร่วงอีก 1 เดือนขาดทุน 40 % ทำเกิดภาวะไม่เชื่อมั่นคนจะรับหุ้นก็ไม่กล้ากลัวราคาลงได้อีก
“หุ้นไทยตอนนี้โดดเด่นเรื่องเงินปันผล แต่เรื่องการเติบโตยังคงน่ากังวล โจทย์ที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้สภาพคล่องกลับมาพร้อมกับความเชื่อมั่น เพราะถึงแม้ตลาดจะมีสภาพคล่อง แต่หากนักลงทุนส่วนใหญ่คิดว่ายังรอได้ มองว่าราคาอาจจะถูกลงอีก นักลงทุนก็ไม่เข้าซื้อ เพราะฉะนั้นความมั่นใจในเชิงเศรษฐกิจและนโยบายจึงมีความสำคัญมาก”
“ทินพันธ์ุ หวั่งหลี” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล. ) กสิกรไทย
“ตลาดทุนไทยเป็นเค้กก้อนหนึ่งมีรายย่อย-สถาบันและต่างชาติพอเงินถูกดึงกลับทำให้ตลาดไอพีโอแห้งลง ทั้งที่พื้นฐานบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อารมณ์ตลาดหรือภาวะกลับมีผลต่อการลงทุนมาก”
ทั้งนี้คาดว่าตลาดไอพีโอกลับมาแอคทีฟอีกครั้งช่วงปลายปี 2569 จากปัจจัยได้รัฐบาลใหม่ มาตรการหนุนลงทุนในตลาดหุ้นชัดเจนขึ้นทำให้สถาบันมีสภาพคล่องที่แข็งแรง ดังนั้นหากเป็นนักลงทุนรายย่อยต้องการลงทุนในหุ้นไอพีโอต้องทำการบ้านมากขึ้นและเปรียบเทียบข้อมูลหลายๆที่ ศึกษาไฟลิ่ง ดูงบดุลเป็น เพื่อประเมินการระดมทุนที่ได้ไปนำไปใช้ลงทุนและกระทบงบการ
“สรวิศ ไกรฤกษ์” รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และสายงานการตลาด ตลท. กล่าวถึงปี 2569 ทำงานมีการปรับเกณฑ์กระบวนการไอพีโอร่วมกับสำนักงานก.ล.ต. ให้แข่งขันกับตลาดหุ้นในต่างประเทศได้จากระยะเวลาพิจารณาไอพีโอเหลือ 90 วันจากปัจจุบัน 120 วัน เพื่อดึงดูดบจ.ใหม่ และเป็นการแข่งขันกับตลาดหุ้นอื่นที่ยอมรับว่าเข้ามาทำมาร์เก็ตติ้งดึงบจ.ไทยไประทุนในต่างประเทศ
ที่ผ่านมาตลาดหุ้นต่างประเทศมีแรงจูงใจเข้าไประดมทุนมากกว่าตลาดหุ้นไทย มองว่ามี 3 เหตุผล ได้แก่ 1. ดัชนีหรือราคาที่ผู้ออกหลักทรัพย์จะได้รับ เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีระดับ P/E ที่สูงกว่าตลาดหุ้นไทย 2. สภาพคล่องของตลาดหุ้น และ 3. กระบวนการเข้า IPO ที่กระชับหรือรวดเร็วกว่าตลาดหุ้นไทยส่วนข้อเสนอทาง IB Club ด้วยการขอขยายขอบเขตหรือสัดส่วนในเรื่องการจัดสรรหุ้นให้ผู้มีอุปการะคุณจากสัดส่วน 25% เพิ่มขึ้นเป็น 40% นั้นได้มีการพูดคุยกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าว
รวมทั้งเพิ่มบจ.ที่น่าสนใจและน่าดึงดูดการลงทุน เช่น บริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนผ่าน BOI การขยายโครงการ Jump+ ไปถึงมี.ค. 2569 จากสิ้นปี 2568 เนื่องจากมีบจ. ขนาดใหญ่ให้ความสนใจเดิมที่มีบจ.เข้าร่วมแล้ว 100 บริษัท ส่วนหุ้นไอพีโอเชื่อว่าปี 2569 จะฟื้นตัวทั้งจำนวนบจ. และมูลค่าระดมทุน เนื่องจากมีบริษัทขนาดใหญ่ยื่นไฟลิ่ง จากที่มียื่นอยู่แล้วจำนวน 5-7 บริษัท ซึ่งภาวะตลาดหุ้นเอื้อตลาดไอพีโอจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้







