มัดรวม หุ้นเด่น Outperform ช่วงหลังยุบสภา-มีการเลือกตั้ง

เกมพลิก! นายกฯ “อนุทิน” ทูลเกล้าฯ ยื่นยุบสภาแล้ว หลังการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ในวันที่ 2 เมื่อวาน (11 ธ.ค.) รัฐสภาโหวตให้คงคะแนนเสียง ส.ว. ไม่ต่ำกว่า 1/3
KEY
POINTS
- การยุบสภาสร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองระยะสั้น กดดันดัชนีหุ้นไทย แต่โบรกเกอร์มองเป็นจังหวะในการทยอยสะสมหุ้น
- สถิติในอดีตชี้ว่าตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงที่มีการยุบสภาจนถึงการเลือกตั้งใหม่ หรือที่เรียกว่า Pre-election Rally
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่มักมีผลการดำเนินงานดีกว่าตลาด (Outperform) ในช่วงเลือกตั้ง ได้แก่ กลุ่มอาหาร (FOOD) การเงิน (FIN) วัสดุก่อสร้าง (CONMAT) พลังงาน (ENERG) และพาณิชย์ (COMM)
- มีการแนะนำหุ้นเด่นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ เช่น กลุ่มการเงิน (MTC, TIDLOR) ค้าปลีก (CPALL, CRC) พลังงาน (GPSC, GULF) และหุ้นปันผลดี (AP, PTT, SIRI)
เกมพลิก! นายกฯ “อนุทิน” ทูลเกล้าฯ ยื่นยุบสภาแล้ว หลังการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ในวันที่ 2 เมื่อวาน (11 ธ.ค.) รัฐสภาโหวตให้คงคะแนนเสียง ส.ว. ไม่ต่ำกว่า 1/3 ในการเห็นชอบเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรคประชาชนไม่เห็นด้วย
แต่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุน ทำให้ฝ่ายค้านอาจยื่นขอโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจทันทีที่มีการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญครั้งที่ 2 ในวันนี้ (12 ธ.ค.) ส่งผลให้นายกฯ อนุทิน ชิงประกาศยุบสภาก่อน เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่าโอกาสการยุบสภาเร็ว ถือเป็นความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เราประเมินไว้ และแนะนำให้นักลงทุนรอความชัดเจนก่อนตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. การยุบสภาทำให้การเมืองเข้าสู่สุญญากาศในระยะสั้นและสถานภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง
นอกจากจะมีผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญล้มเหลวแล้ว คาดจะกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลด้วย ทั้งประเด็นความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา, การเจรจาการค้า, การฟื้นฟูศก.หลังน้ำท่วมภาคใต้ และการผลักดันโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 รวมทั้ง TISA ด้วย
เรามอง SET Index จะตอบสนองในเชิงลบ มีโอกาสปรับตัวลงหลุดระดับ 1,250 จุด มีแนวรับถัดไปที่ 1,220-1,230 จุด แต่เรามองเป็นจังหวะในการทยอยสะสม
เรามอง Downside ตลาดจำกัด เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองซึมซับในตลาดบางส่วนแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่มูลค่าหุ้นไทยที่ไม่รวม DELTA ที่ถูกมาก โดย Earning Yield Gap เทียบเคียงกับช่วงวิกฤติ COVID-19 และคาดหวังการประชุม กนง.ในสัปดาห์หน้า (17 ธ.ค.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ กระแสเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่มักไหลเข้ามากสุดในข่วงครึ่งหลังของเดือน ธ.ค.
สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน ม.ค. - ต้นเดือน ก.พ. ในเชิงสถิติในช่วงที่มีการยุบสภาจนถึงมีการเลือกตั้งใหม่ SET Index มักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +1.1% (Max = +10.1%, Min. -10.1%) ขณะที่ Pre-election Rally ในช่วง 1-2 เดือนก่อนเลือกตั้งมีโอกาสปรับขึ้นราวราว 53-73% และให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ย +2.0% ถึง +2.3%
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มัก Outperform ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง คือ กลุ่ม FOOD, FIN, CONMAT, ENERG และ COMM หุ้นเด่นระยะสั้น – ICHI, MTC, TIDLOR, TASCO, GPSC, GULF, SPRC, CPALL, BJC, CPAXT, CRC, MRDIYT, PLANB
นอกจากนี้เป็นจังหวะในการตั้งรับหุ้นปันผลดี คาด Div. Yield ในช่วงที่เหลือของปีนี้สูงกว่าระดับ 4% ขึ้นไป แนะนำ AP, BTG, FM, GFPT, LH, MC, OSP, PRM, PTT, PTTEP, SABINA, SAPPE, SCCC และ SIRI
รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นดูอ่อนแอกว่าคาด แม้ Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง แต่ดูแล้วไม่ได้ช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้นไทยที่ไม่ได้ตอบรับเชิงบวก อีกทั้งก่อนหน้านี้ปรับตัวลงแรงเหมือนรู้ก่อนว่าจะยุบสภา นอกจากนี้กระแสตลาดบางส่วนยังให้น้ำหนักความกังวลปีหน้า Fed อาจลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้น้อย สะท้อนความเปราะบางของความเชื่อมั่นนักลงทุน อย่างไรก็ดี หากปิดสัปดาห์ยังไม่หลุดแนวรับสำคัญ 1,250 จุด จะทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้ลบมาก
ขณะที่มองไปข้างหน้า หาก Fed ลดดอกเบี้ยนโยบายแล้วไม่ช่วยหนุน เกรงว่า กนง. ประชุมสัปดาห์หน้าแล้วลดดอกเบี้ยนโยบายตามก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มากเช่นเดียวกัน อีกทั้งปัจจัยลบใหม่เริ่มเข้ามาโดยเฉพาะเรื่องการเมืองในประเทศหลังรัฐบาลยื่นทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ ส่งผลให้โครงการของรัฐบาลต่างๆ ที่ยังค้างอยู่ ไม่ได้มีการเสนอที่ประชุม ครม. ก็จะต้องรอรัฐบาลใหม่ในการพิจารณาอีกที เช่น โครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 และโครงการสนับสนุนการออมและตลาดทุน (TISA) ทำให้ความหวังเห็นมาตรการเชิงบวกจบลง นอกจากนี้จากสถิติในอดีตโดยเฉลี่ยหลังยุบสภา 1 เดือน ตลาดหุ้นไทยมักเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติราว 1 หมื่นลบ. และ SET Index ปรับลดลงราว 4-5%
นอกจากนี้ตลาดเกิดความกังวลเรื่องเม็ดเงินรัฐอาจมีการเบิกจ่ายล่าช้า รวมถึงความเสี่ยงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ทั้งนี้ตามกฎหมายหลังยุบสภาแล้วจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ซึ่งตามธรรมเนียมจะจัดการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่อาจมีการเลือกตั้งในช่วงวันที่ 1 หรือ 8 ก.พ. 2026 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมที่เคยมองว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลาย มี.ค. ดังนั้นตามไทม์ไลน์การเลือกตั้งใหม่ ประเมินว่าหลังเลือกตั้ง กกต. จะต้องรับรองผลการเลือกตั้งภายใน 60 วันตามกฎหมาย หรือคาดว่าจะเป็นในช่วงปลายเดือน มี.ค. ถึงต้นเดือน เม.ย. และจะต้องเปิดประชุมสภาภายใน 15 วันหลังรับรองผลการเลือกตั้งหรือคือ ช่วงต้นถึงราวกลางเดือน เม.ย. ก่อนที่จะประชุมสภาเลือกประธานสภา, นายกฯ, และตั้งครม. ซึ่งประเมินอย่างเร็วจะแล้วเสร็จช่วงปลายเดือน เม.ย. และอย่างช้าคือช่วงต้นเดือน มิ.ย. หรือกล่าวคือรัฐบาลปัจจุบันจะอยู่รักษาการไปอีก 6 เดือนจากวันนี้
หากไทม์ไลน์การเลือกตั้งใหม่เป็นไปตามคาด โดยปกติแล้วจากสถิติในปีที่มีการเลือกตั้งการเบิกจ่ายเงินภาครัฐจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ประเด็นสำคัญที่ตลาดมีความกังวลมากกว่านั้นคือการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเนื่องจาก 3 พรรคใหญ่มีความขัดแย้งชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 เองก็มีกรอบเวลาสำหรับกระบวนการการเลือกตั้งและได้มาซึ่งนายกฯ ที่ใช้เวลานานกว่าปกติกว่าจะรับรองผลการเลือกตั้งและ ส.ส.
อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันอาจอยู่รักษาการนานกว่า 6 เดือน เนื่องจากในมาตรา 104 สำหรับกรณีมีเหตุจำเป็นไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 60 วัน ได้ก็จะให้เลื่อนเวลาเลือกตั้งออกไปได้จากเดิมที่กำหนดไว้ในมาตรา 103 ซึ่งในกรณีนี้คือเรื่องสถานการณ์ความมั่นคงที่หลายจังหวัดมีการสู้รบอยู่กับทางกัมพูชาและประชาชนมีการอพยพออกจากพื้นที่ ดังนั้นในกรณีหากรัฐบาลรักษาการอยู่ลากยาวอาจกระทบต่อกระบวนการพิจารณาร่างงบประมาณปี 2570 และอาจกระทบเม็ดเงินเบิกจ่ายภาครัฐ ซึ่งเราประเมินจะกระทบราว 0.02-0.03% ของ GDP ต่อเดือน ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2569
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเราประเมิน SET Index อาจแกว่งตัวในกรอบ 1,210 – 1,270 จุด รอความชัดเจนเรื่องกำหนดการเลือกตั้ง โดยหากสามารถจัดให้มีการเลือกตั้งได้ประเมินแนวรับ 1,230 และ 1,210 จุด น่าจะรับอยู่ แต่หากเลือกตั้งล่าช้ากระทบการเบิกจ่ายรัฐอาจมองแนวรับลงไปที่ระดับ 1,175 จุด เทียบ PE 13x บน EPS ปี 2026 ที่ 90.5 บาท
การลงทุนเน้นตั้งรับเลือกหุ้นกลุ่มเสี่ยงต่ำ ผลประกอบการมีเสถียรภาพ ให้เงินปันผลสูง กลุ่มหุ้นรายตัวที่ราคาปรับลงมามากหรือมีการซื้อหุ้นคืน เช่น SAWAD BDMS MINT KTB KKP







