‘ยุบสภา’ ฉุดโฟลว์ไหลออก สถิติ 6 ครั้งหลังยุบสภา 1 เดือน ดัชนีร่วง 6% เงินไหลออกหมื่นล้าน

“เอเชียพลัส” มองยุบสภาฉุดฟันด์โฟลว์ไหลออก กดดันบาทอ่อนยาว ด้านลิเบอเรเตอร์มอง สถิติเลือกตั้งชี้ตลาดมักย่อแรงช่วง 1-2 เดือนแรก แนะรอสะสมเมื่อดัชนีลงลึกใกล้ค่าเฉลี่ย -6.4% เน้นหุ้นใหญ่ปันผลสูง "ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล" มองช่วงนี้ควรถือหุ้น Value ขนาดใหญ่ลดความผันผวน ขณะที่บล.กรุงศรี ชี้หุ้นมีโอกาสลุ้นทดสอบ1,400–1,500 จุด รับมูลค่าหุ้นไทยยังถูกเทียบพื้นฐาน
การประกาศ “ยุบสภา”ภายใต้รัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” ครั้งนี้ ตลาดเงินตลาดทุนต่างมองเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นปัจจัยลบต่อ “ตลาดหุ้นไทย”และเศรษฐกิจโดยรวม เพราะการยุบสภาครั้งนี้แตกต่างกับอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งโครงสร้างตลาด เงินทุนต่างชาติ หรือสภาพเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงอ่อนแออย่างมาก ดังนั้นการยุบสภาก็อาจเป็นประเด็นฉุดรั้งทั้งภาพของการลงทุนและเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า แม้สถิติในอดีตชี้ว่า การยุบสภา 6 ครั้งในอดีต หลัง 1 เดือน ตลาดหุ้นมักปรับลงเฉลี่ยราว -6.7% เงินทุนต่างชาติไหลออก 10,859 ล้านบาท แต่ไม่ควรนำมาอ้างอิงในครั้งนี้ เพราะบริบทวันนี้ต่างไปมาก
ทั้ง ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ก่อนยุบสภาฯเหมือนในอดีต ที่ตลาดมักลงแรงก่อน และดีดกลับหลังยุบสภา อีกทั้งครั้งนี้เงินบาทอยู่ในทิศทางอ่อนค่า สะท้อนว่าฟันด์โฟลว์ยังไม่กลับเข้ามา ตลาดวอลุ่มบางเบา จากหุ้นไทยขาดเสน่ห์หรือขาดGROWTH STORYเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ ไม่มีแรงพยุงจาก กองทุนระยะยาว หลังยกเลิกกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF)ดังนั้นการฟื้นตัวแรงแบบในอดีตจึงเกิดขึ้นได้ยาก หากไม่มีปัจจัยใหม่หนุน ทั้งนี้มองว่ายังมีความเสี่ยงทางการเมือง จากการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นไปได้ยาก เนื่องจากพรรคใหม่มีคะแนนใกล้เคียงกันหลายพรรค ทำให้ความไม่แน่นอนอาจยืดเยื้อและกดดันตลาดให้เคลื่อนไหวในกรอบจำกัด
ทั้งนี้มอง ผลจากการยุบสภา ยังลามไปกระทบต่อเศรษฐกิจและค่าเงินบาทอ่อนค่า และภายใต้ที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองยังทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยากขึ้นและอาจเห็นเศรษฐกิจไทยไตรมาส4/2568 เกิด”Technical Recession“ หรือภาวะถดถอยได้ ประกอบกับไทยยังคงขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ยิ่งรวมปัจจัยทางการเมืองยิ่งทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มแผ่วลงและมีโอกาสขยายตัวต่ำกว่าคาดได้
โดยมองว่าSET Index จะอยู่ในลักษณะ“การประคองตัว” มากกว่ารีบาวนด์แรง โดยให้กรอบเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ที่1,250 - 1,280 จุด ยาวไปจนถึงช่วงเลือกตั้งและหลังได้รัฐบาลใหม่ต้นปีหน้า
ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะซื้อแล้วถือ” (Buy and Hold) และเน้นหุ้นปันผลสูง อย่าง SCB ปันผลสูงราว 8% ,ERW กำไรยังดีต่อเนื่อง ,TOP ได้แรงหนุนจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และฤดูหนาวหนุนการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น
วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า จากสถิติย้อนหลัง 20 ปีที่ผ่านมา การยุบสภาและมีการเลือกตั้งใมใหม่4 รอบ
ตั้งแต่ปี 2549 รัฐบาลทักษิณ ดัชนีลดลง 2.8% ในช่วงยุบสภาไปถึงการเลือกตั้ง ,รัฐบาลอภิสิทธิ์ ปี 2554 ดัชนีลดลงกว่า 8% ,รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปี 2556 ดัชนีลดลง11.8% และรัฐบาลประยุทธ์ ปี 2566 ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไปที่ 3.1%
โดยเฉลี่ยทั้ง 4 ครั้ง ตลาดหุ้นไทยร่วงเฉลี่ยที่ 6.4% โดยตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานลงก่อนช่วง 1-2 เดือนแรก และย่อตัวก่อนในช่วง 40-60 วันแรก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติและกองทุนชะลอลงทุน
สำหรับกลยุทธ์ช่วงนี้ ให้รอตลาดย่อตัวใกล้ระดับเฉลี่ย -6.4% แล้วทยอยสะสม เน้นหุ้นใหญ่และหุ้นปันผลสูง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ไอซีที โรงพยาบาล ทั้งนี้คาดว่าการฟื้นตัวของดัชนีจะอยู่ช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.2569
กรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และนักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากสถิติ5 ครั้งของการยุบสภาพบว่า ตลาดหุ้นมีพฤติกรรม “บวกระยะสั้น ถึง ระยะกลาง” โดยดัชนรี 1 วันหลังยุบสภา ดัชนีมักบวก +0.9% หลัง 1 สัปดาห์ ตลาดเริ่มอ่อนตัว เฉลี่ย -0.4% และหลัง1เดือนหลังยุบสภา ตลาดติดลบชัดเจนเฉลี่ย-4.6%
จากสถิติแสดงให้เห็นว่า แม้มีแรงบวกระยะสั้นๆ แต่หลังจากผ่านไปสักระยะประมาณ 45-60 วัน ความไม่แน่นอนจะเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากตลาดยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นรัฐบาลชุดต่อไป บวกกับความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย และการที่พรรคประชาชน และความไม่ชัดเจนในเรื่องพรรคร่วมรัฐบาล
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน จึงควรเน้นหุ้นกลุ่ม Value หรือหุ้นขนาดใหญ่ที่ลงมาแรง เช่น CPALL, PTT, GULF และ BDMS
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเกิด Election Rally ช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง เนื่งอจากมูลค่าหุ้นไทยอยู่ในโซนถูกกว่าพื้นฐาน ทำให้ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1,400-1,500 จุด โดยประเมิน EPS ปีหน้า อยู่ที่ 94บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้หากดูสถิติการเลือกตั้ง 5 ครั้งล่าสุด ช่วง1-2 เดือนก่อนเลือกตั้ง ตลาดหุ้นมีโอกาสตอบรับเชิงบวก 0.7-0.8% และหลังการเลือกตั้งตลาดบวก 1.3% ส่วนในช่วง 6 เดือนหลังการเลือกตั้งตลาดมีโอกาสบวกเพิ่มราว 2% ขณะที่การลงทุนระยะสั้น2-4 สัปดาห์หลังจากการประกาศยุบสภาตลาดมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้คาดว่าจะคล้ายกับในปี 2554 ที่ในช่วง 6 เดือนหลังการเลือกตั้งตลาดปรับตัวเป็นบวกเฉลี่ยกว่า 17.01% เนื่องจากรัฐบาลเพื่อไทยในขณะนั้นมีนโยบายที่ค่อนข้างสนุนการเติบโต (pro-growth) และสร้างความคาดหวังให้กับนักลงทุน
“สถิติช่วงเลือกตั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา ในปี 2550 และปี 2566 เป็น 2 ครั้งที่ตลาดไม่ได้รับผลบวกจากการ election rally มากนัก เพราะเกิดวิกฤตซัพไพรม์ และผลกระทบจากความเชื่อมั่นต่อนโยบายขอพรรคก้าวไกล ผนวกกับความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาลที่ทำให้การผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปีล่าช้าตามไปด้วย”
ทั้งนี้ ด้วยอำนาจที่จำกัดของรัฐบาลรักษาการในปัจจุบัน ทำให้ไม่สามารถผลักดันนโยบายที่ค้างอยู่ได้ หรือทำได้อย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 และโครงการบัญชีเพื่อการออมและการลงทุน (TISA) โดยนักลงทุนยังคงต้องจับตาดูปัจจัยอื่น ๆ เช่นเรื่องผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสัปดาห์หน้าประกอบด้วย เนื่องจากการยุบสภาเป็นปัจจัยกดดันให้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจากการที่นโยบายการคลังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที







