เปิดสถิติหุ้นไทยหลังยุบสภา กดดันเงินต่างชาติไหลออกหมื่นล้านบาท

บล.เอเซีย พลัส เผยสถิติในอดีตชี้ว่า 1 เดือนหลังการยุบสภา เงินทุนต่างชาติมักไหลออก โดยเกิดขึ้น 5 ใน 6 ครั้งที่ผ่านมา และมีค่าเฉลี่ยไหลออกสุทธิ -10,859 ล้านบาท ผลตอบแทนของดัชนี SET ในอดีต (พ.ศ. 2539 - 2566) หลังยุบสภา 1 เดือน มักให้ผลตอบแทนติดลบ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ -6.7%
KEY
POINTS
- สถิติในอดีตชี้ว่า 1 เดือนหลังการยุบสภา เงินทุนต่างชาติมักไหลออก โดยเกิดขึ้น 5 ใน 6 ครั้งที่ผ่านมา และมีค่าเฉลี่ยไหลออกสุทธิ -10,859 ล้านบาท
- ผลตอบแทนของดัชนี SET ในอดีต (พ.ศ. 2539 - 2566) หลังยุบสภา 1 เดือน มักให้ผลตอบแทนติดลบ โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ -6.7%
- ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเล็กน้อยทั้งในช่วง 1 เดือนก่อนและหลังการยุบสภา โดยเฉลี่ยราว 0.8% และ 0.6% ตามลำดับ
- การยุบสภามักส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น เนื่องจากสร้างความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและอาจทำให้นโยบายสำคัญต่างๆ ชะงักงัน
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า วันนี้ (12 ธ.ค.2568) ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภา พ.ศ.2568 เตรียมเดินหน้าเลือกตั้งใหม่ไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ซึ่งวันสุดท้ายที่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ไม่เกินวันอังคารที่ 10 ก.พ.2569 (12ธ.ค. + 60 วัน) ทั้งนี้ ตามประเพณีปฏิบัติของไทย การเลือกตั้งทั่วไป มักจะถูกกำหนดให้เป็น “วันอาทิตย์” ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ หากไม่มีการเลื่อนหรือยกเลิก อาจเป็นวันที่ 1 ก.พ.69 หรือ 8 ก.พ.2569
ขณะที่ผลกระทบต่อเศรษฐกินไทยอาจเกิดความไม่แน่นอนขึ้นในหลายประเด็น อาทิ การเดินหน้าโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2, โครงการ TISA, นโยบายรถไฟฟ้า 40 บาท ตลอดทั้งวัน, MEGA PROJECT ใหม่ๆรวมถึงการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ เป็นต้น ทำให้ไตรมาส 4/68 มีความเสี่ยงมากขึ้นจากนโยบายชะงักงันก่อนเลือกตั้งใหม่อาจกดดันความเชื่อมั่น และกรณีที่ GDP GROWTH ไทย โตต่ำกว่า 0.6%YOY มีโอกาสเห็นภาพ TECHNICAL RECESSION ได้ (GDP ติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส)
ส่วนสถิติการยุบสภาในอดีต ต่อค่าเงินบาท ในช่วง 1 เดือนก่อน และ 1 เดือนหลังการยุบสภา โดยค่าเงินบาทมีความผันผวนทั้งก่อนและหลังการยุบสภา มีแนวโน้มอ่อนค่าเล็กน้อย โดยเฉลี่ยทั้งก่อนและหลังการยุบสภา ราว 0.8% และ 0.6% ตามลำดับ อีกทั้งในช่วง 1 เดือนนี้ ค่าเงินบาท แข็งค่ามากกว่า2.0% ยิ่งเป็นแรงส่งให้สามารถดีดตัว หรืออ่อนค่าลงได้บ้าง
ส่วนสถิติหลังการยุบสภา 1 เดือน ต่อ FLOW ต่างชาติเงินทุนไหลออกเกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังการยุบสภาเกิดขึ้น 5 ครั้ง จาก 6 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยไหลออกสุทธิ-10,859 ล้านบาท ส่วนภาพการเคลื่อนไหวของ SET ในอดีตตั้งแต่ พ.ศ. 2539 ถึง 2566 ผลตอบแทนของ SET หลังยุบสภา 1 เดือนมีค่าเป็นลบแทบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งเดียวในปี 2556 ค่าเฉลี่ย : ผลตอบแทน SET หลังยุบสภา 1 เดือน เฉลี่ยติดลบ -6.7%
ทั้งนี้ สถิติในอดีตชี้ให้เห็นว่า การยุบสภามักส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น และทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ เลือก SCB ปันผลสูงราว 8%, เผชิญแรงขายของกอง LTF น้อย ขณะที่ ERW ค่า P/E ถูกเมื่อเทียบกับตัวเองในอดีต EARNING CYCLE ดีต่อเนื่อง ส่วน TOPเกิดความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในหลาย
พื้นที่, อากาศที่หนาวขึ้น หนุนการใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
สำหรับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2016 – 2025YTD) ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยรวมกว่า -25,819 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 8.4 แสนล้านบาท) ขายหนัก 3 ปีหลัง(ปี 2023, 2024 และ 2025) ต่างชาติเทขายอย่างหนักต่อเนื่อง (-5,507, - 4,132, -3,256 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ) ส่งผลให้ผลตอบแทนสะสม 10 ปี ของไทยอยู่ที่ -2% ซึ่งสวนทางกับประเทศอื่นอย่างสิ้นเชิง เช่น ไต้หวัน +238% เวียดนาม +195% ญี่ปุ่น +164% (แม้แต่ประเทศที่ต่างชาติขายเหมือนกัน ตลาดก็ยังบวกได้ แสดงว่าเม็ดเงินในประเทศช่วยเหลือแทน)
โดยปีนี้ YTD สถาบันขาย -32,581 ล้านบาท สาเหตุหลักที่สถาบัน (กองทุน) ขายหุ้นไทย ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีโดยในอดีตกองทุน LTF (LONG TERM EQUITY FUND) คือเม็ดเงินหลักที่ช่วยพยุงหุ้นไทย เพราะบังคับถือครองระยะยาวเพื่อลดหย่อนภาษี แต่เมื่อ LTF หมดอายุโครงการและเปลี่ยนเป็น SSF/THAIESG ซึ่งเงื่อนไขไม่จูงใจเท่าเดิม
ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดหุ้นไทย เกิดวิกฤตความเชื่อมั่น โดยต่างชาติขายต่อเนื่อง 8 ใน 10 ปี และขายหนักขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนมุมมองว่าตลาดหุ้นไทย "ขาดเสน่ห์" หรือ "ขาด GROWTH STORY" เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และขาดแรงพยุงจากสถาบัน ผ่านการยกเลิก LTF เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เม็ดเงินระยะยาวหายไป จึงยากที่จะทำเห็นดัชนีปรับตัวขึ้นแรงๆ ได้ หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาดึงดูด FUND FLOW







