ดาวโจนส์ S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หุ้นเทคฯร่วง

ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังหุ้น Oracle ร่วงหนัก กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ขายหุ้นกลุ่มเอไอเข้าสู่ตลาดโดยรวม
ซีเอ็นบีซี รายงานดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average และ S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ในวันพฤหัสบดี (11 ธ .ค.68) เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ลดอัตราดอกเบี้ย ตามมาด้วยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของ Oracle กระตุ้นให้นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ราคาพุ่งสูง และหันไปลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่กำลังเติบโต
ดัชนีดาวโจนส์ของหุ้น 30 ตัว พุ่งขึ้น 646.26 จุด หรือ 1.34% ปิดที่ 48,704.01 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่ ดัชนียังทำสถิติสูงสุดระหว่างวันใหม่ โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้น Visa หลังจากที่ธนาคาร Bank of America ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนแนะให้ซื้อ
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.21% ปิดที่ 6,901.00 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite ปรับตัวลง 0.26% ปิดที่ 23,593.86
หุ้นของ Oracle ร่วงลงเกือบ 11% หลังจากที่บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งรายงานรายได้รายไตรมาสที่น่าผิดหวังและปรับเพิ่มคาดการณ์ค่าใช้จ่าย ซึ่งยิ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับหนี้สินของบริษัท รายงานดังกล่าวเป็นการจุดประเด็นการถกเถียงเกี่ยวกับความรวดเร็วที่บริษัทเทคโนโลยีจะสามารถเห็นผลตอบแทนจากการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) กระตุ้นให้เกิดการโยกย้ายเงินลงทุน
หุ้น AI อื่นๆ ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน รวมถึง Nvidia และ Broadcom ซึ่งแต่ละบริษัทลดลงมากกว่า 1%
ในขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมอย่าง Home Depot ปรับตัวสูงขึ้น
- สัญญาณเตือนภัยจากหุ้น Oracle
“ตอนนี้ตลาดกังวลกับหุ้น Oracle และลามไปถึงธีมการลงทุนด้าน AI โดยรวม ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะมีเม็ดเงินมูลค่าเป็นล้านล้านดอลลาร์ที่ถูกมุ่งหน้าเข้ามาในเทรนด์นี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลาดยังมองไม่ชัดว่าทั้งหมดนี้จะออกดอกออกผลอย่างไร และในระดับหนึ่ง Oracle ก็กำลังทำตัวเหมือน ‘นกคีรีบูนในเหมืองถ่านหิน’” สตีฟ โซสนิก หัวหน้านักกลยุทธ์ของ Interactive Brokers กล่าว “ดังนั้นตลาดที่เริ่มโยกย้ายเงินออกจากกลุ่มนี้เล็กน้อยจึงถือว่าทำถูกแล้ว”
ความเชื่อมั่นน้อยลงต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อโมเมนตัมที่เกิดขึ้นในรอบการซื้อขายก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ดัชนี S&P 500 ปิดตัวลงใกล้กับระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่เฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สามในปีนี้ โดยมีความเห็นที่แตกต่างกัน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนอ้างอิงอยู่ที่ระดับ 3.5%-3.75% ธนาคารกลางยังได้ตัดความเป็นไปได้ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
เนื่องจากบริษัทขนาดเล็กมักได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ เพราะต้นทุนการกู้ยืมของพวกเขามีความเชื่อมโยงกับอัตราดอกเบี้ยในตลาดมากกว่า ดัชนี Russell 2000
ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นขนาดเล็ก จึงทำสถิติสูงสุดระหว่างวันและปิดตลาดในวันพฤหัสบดีพร้อมกับดัชนีดาวโจนส์
ดัชนี Russell 2000 ได้เข้าร่วมกับดัชนีหลักทั้งสามในการได้รับแรงหนุนในระหว่างการซื้อขายเมื่อวันพุธหลังจากที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ย และยังทำสถิติปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนั้นด้วย
ณ จุดนี้ โซสนิกกล่าวว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นที่เรียกว่า "การพุ่งขึ้นของซานตาคลอส" นั้น "ดูเหมือนจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว" และอาจผลักดันให้ดัชนี S&P 500 ทะลุระดับ 7,000 ได้ อย่างไรก็ตาม เขาคาดว่าจะมีแรงกดดันต่อตลาดโดยรวมในปีหน้า โดยมีเป้าหมายของดัชนี S&P 500 ณ สิ้นปี 2026 อยู่ที่ 6,500 เขาอ้างถึงปัจจัยลบจาก AI รวมถึงประธานเฟดคนใหม่และการเลือกตั้งกลางเทอมจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการปรับตัวลง
"ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ต้องกังวลอยู่บ้าง เพราะหากแรงผลักดันจาก AI เริ่มแผ่วลง ก็จะต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆมาช่วยออกแรงดันตลาดอย่างมาก" หัวหน้านักกลยุทธ์กล่าวกับ CNBC "หลังจากตลาดกระทิงที่แข็งแกร่งมาสามปี ผมคิดว่ามีความเสี่ยงบางอย่างที่ถูกมองข้ามไป"







