วิจารณ์หนัก TISA ไร้แรงจูงใจลงทุนหุ้น ขาดการปฎิรูป-สร้างกับดักภาษี (รายได้สูง)

วิจารณ์หนัก TISA  ไร้แรงจูงใจลงทุนหุ้น   ขาดการปฎิรูป-สร้างกับดักภาษี (รายได้สูง)

“ถกสนั่นในตลาดหุ้นไทย” นาทีนี้หลังครม.เศรษฐกิจเห็นชอบส่งเสริมการออมของประชาชน โดยเฉพาะการออมผ่านตลาดทุน ด้วย Thailand Individual Saving Account(TISA) พร้อมปรับโครงสร้างสิทธิลดหย่อนภาษี

        ปมประเด็นไปอยู่เงื่อนไขลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็น 800,000 บาทต่อปีจากเดิม 500,000 บาทต่อปี  สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ค่าลดหย่อนทุกประเภทรวมกัน เช่น ค่าลดหย่อนครอบครัว, กบข., RMF,ประกัน, ดอกเบี้ยบ้าน และ TISA  การกำหนดเพดานให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งมีอยู่ 11.4 ล้านคน สามารถลดหย่อนภาษีได้เพิ่มขึ้น 1.3 เท่า ส่วนผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาทต่อปี กลับลดหย่อนภาษีที่ 0.7 เท่า 

      หากแต่กลายเป็นที่ถกเถียงว่าเป็นการ "บังคับให้ผู้ที่มีรายได้ 1.5 ล้านบาทต้องจ่ายภาษีเพิ่ม" ด้วยเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพด้านเงินออมไปลดหย่อนภาษีมากกว่ากลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท แต่กลับได้ลดหย่อนภาษีน้อยกว่า

      ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์  หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ InnovestX วิเคราะห์ TISA ที่ได้แนวคิด Individual Savings Account (ISA)  ในอังกฤษและ NISAในญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่สัดส่วนการลงทุนต่อเงินฝากเพิ่มจาก 17% (2015) เป็น 23.6% (2024) และมีผู้ใช้ NISA เพิ่มจาก 8.3 ล้านบัญชี (2014)เป็น 25.6ล้านบัญชี (2024)

     

        สำหรับไทยแนวนโยบาย TISA ที่ใช้ “กลไกลดหย่อนภาษี”แทนการยกเว้นภาษีต่างจาก ISA/NISA ของต่างประเทศ ที่ให้ “สิทธิประโยชน์ลดหย่อนเงินปันผลและCapital Gain Tax”  ทำให้ TISA มีลักษณะเป็นเพียง "LTF เวอร์ชันใหม่" ที่เน้นให้ผลประโยชน์ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(PIT) สูงไม่ใช่การปฏิรูปโครงสร้างที่แท้จริง  

          วิจารณ์หนัก TISA  ไร้แรงจูงใจลงทุนหุ้น   ขาดการปฎิรูป-สร้างกับดักภาษี (รายได้สูง)

       นอกจากนั้นการกำหนดเพดานลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน  800,000บาทต่อปี จะทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในตลาดทุนลดลงเนื่องจากผู้เสีย PIT ของไทยมีเพียง 15.9% ของประชากร(ต่ำกว่าUK 50.6%,ญี่ปุ่น18.4%) ยิ่งไปกว่านั้นในกรณีของญี่ปุ่น(NISA) ทางการได้มีการปฎิรูปนโยบายการเงินการคลังรวมถึงพัฒนาธรรมาภิบาลไปพร้อมกัน(นโยบายธนูสามดอก)ขณะที่ในกรณีของ ไทยเป็นเพียงแต่การสนับสนุนตลาดทุนผ่านมาตรการภาษีทำให้มีความเป็นไปได้ที่ TISA อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

      มาตรการTISA ด้านความเสี่ยงที่อาจกดดันตลาดหุ้นไทยมากกว่าหนุนที่ไม่ได้แตกต่างจากสิทธิประโยชน์เดิมที่สามารถใช้สิทธิ์จาก RMF 500,000 บาทรวมกับ ThaiESG 300,000 บาท ด้วยมาตรการนี้ไม่ได้ต้องการจูงใจให้ประชาชนมีการออมสูงขึ้น "แต่มีเป้าหมายหลักเพื่อ ลดภาระต้นทุนของรัฐบาลที่ต้องอุดหนุนผู้มีรายได้สูงที่เสียภาษีอัตรา 30-35%  ซึ่งการลดหย่อนแต่ละครั้งส่งผลให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ภาษีสูงมากประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือเงื่อนไขการถือครองยาวนานจนถึงอายุ 55ปี เป็นระยะเวลาที่นานเกินไปและขาดความยืดหยุ่น

          

         อีกประเด็นคือการลดสิทธิ์ของผู้มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทให้เหลือเพียง 0.7เท่าของเงินลงทุนทำให้กลุ่มนี้สามารถลดหย่อนได้สูงสุดเพียง 560,000บาท(ลงทุน800,000บาทx 0.7) ซึ่งต่ำกว่าระบบเดิมที่ลงทุนได้ 800,000 บาทแม้ผู้มีรายได้ต่ำกว่า1.5 ล้านบาทจะได้สิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็น1.3เท่า (ลงทุน800,000บาทสามารถลดหย่อนได้1.04 ล้านบาท)แต่กลุ่มนี้มีกำลังซื้อจำกัด 

           วิจารณ์หนัก TISA  ไร้แรงจูงใจลงทุนหุ้น   ขาดการปฎิรูป-สร้างกับดักภาษี (รายได้สูง)

       ขณะที่ผู้มีรายได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาทซึ่งเป็นเพียง 3-4% ของผู้ยื่นภาษีแต่เป็นนักลงทุนหลักและเป็นผู้เสียภาษีหลัก(กว่า60%ของรายได้จากภาษีรวม) กลับถูกตัดสิทธิ์ส่งผลให้ปริมาณเงินลงทุนที่จะไหลเข้าตลาดทุน มีแนวโน้มลดลงประกอบกับการขาดการปฏิรูปโครงสร้างที่ครอบคลุม เช่น ญี่ปุ่นที่มี Monetary Easing, Flexible Fiscal PolicyและCorporate Governance Reforms ไปพร้อมกับ NISA

         โดยมองว่า นักลงทุนจำนวนมากจะเลือกรอดูรายละเอียดเพิ่มเติมโดยเฉพาะเงื่อนไขการซื้อหุ้นรายตัวที่ยังไม่ชัดเจนทำให้บรรยากาศการลงทุนอยู่ในภาวะ“รอลุ้น” มากกว่าคาดหวังเชิงบวกแม้รัฐบาลจะอ้างว่ามีผู้ได้รับประโยชน์ 11.4 ล้านคนและหวังให้เงินไหลเข้าตลาดทุนมากขึ้น แต่ความเป็นจริงคือมาตรการนี้อาจกลายเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นมากกว่าหนุนเนื่องจากลดแรงจูงใจของนักลงทุนกลุ่มหลักที่มีกำลังซื้อสูงขาดความยืดหยุ่นจากเงื่อนไขถือครองที่ยาวนานเกินไปและไม่มีการยกเว้นภาษีผลตอบแทนที่แท้จริงเหมือนISA/NISA

      หากรัฐบาลไม่ปรับปรุงมาตรการก่อนนำเข้าครม.อย่างเป็นทางการ TISA อาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มการออมระยะยาวและพัฒนาตลาดทุนไทยได้ตามที่คาดหวัง

       แม้มาตรการ ISA จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนระยะยาวมากขึ้น และสร้างฐานนักลงทุนรายย่อยให้ขยายตัวได้อย่างแท้จริง แต่หากประเทศไทยต้องการยกระดับตลาดหุ้นให้เป็น “เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” การมีเพียงมาตรการด้านบัญชีออม–ลงทุนหนึ่งมาตรการย่อมไม่เพียงพอการเติบโตของตลาดทุนต้องได้รับแรงสนับสนุนจากพื้นฐานของเศรษฐกิจและนโยบายมหภาคด้วย ดังเช่นในกรณีของญี่ปุ่นที่มีการดำเนินการ ดังนี้ 

   1.Monetary Easing ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ)อัดฉีดสภาพคล่องครั้งใหญ่ ลดดอกเบี้ย
ใกล้ศูนย์–ติดลบ และ เข้าซื้อ ETFในตลาดหุ้นโดยตรง ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง ความเชื่อมั่นสูงขึ้น และราคาสินทรัพย์ปรับตัวต่อเนื่อง

   2.Flexible Fiscal Policy การใช้จ่ายภาครัฐเพื่อพยุงรายได้–การจ้างงาน และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในวงกว้าง สร้างกาลังซื้อในระบบเศรษฐกิจและส่วนหนึ่งทาให้กาไรบริษัทญี่ปุ่นทาสถิติสูงสุดต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนกลับเข้าสู่ตลาดทุนโดยตรง

    3.Corporate Governance Reforms นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังให้ความสาคัญกับโครงการปฏิรูปธรรมาภิบาลองค์กร ซึ่งมีผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยการสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนสะท้อนจากบริษัทจดทะเบียนให้ความสาคัญกับ Dividend payout สูงขึ้นและ Share buybacksเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง