4 หุ้นรับกระทบชายแดน ไทย-กัมพูชา CBG ร่วง 3.55% โบรกแนะชะลอการลงทุน

สถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา CBG ร่วงหนักสุด-3.55% โบรกแนะชะลอการลงทุนในหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้สูงในกัมพูชา เช่น กลุ่มเครื่องดื่ม เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย
KEY
POINTS
- สถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้หุ้น 4 บริษัทที่มีการลงทุนในกัมพูชาปรับตัวลดลง ได้แก่ CBG (-3.55%), OSP (-1.91%), MAJOR (-1.54%) และ BCH (-0.99%)
- CBG เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด เนื่องจากรายได้จากกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 13% ของรายได้รวม และแผนการลงทุนสร้างโรงงานอาจเผชิญความไม่แน่นอน
- นักวิเคราะห์แนะนำให้ชะลอการลงทุนในหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้สูงในกัมพูชา เช่น กลุ่มเครื่องดื่ม เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย
- ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ OSP ถูกมองว่าน่าสนใจกว่าเนื่องจากมีสัดส่วนธุรกิจในประเทศที่มากกว่าคู่แข่ง และได้รับผลกระทบจำกัด ขณะที่ BCH ได้รับผลกระทบจากประเด็นชายแดนไม่มากนัก
ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 11 ธ.ค.2568 เวลา 10.06 น. หุ้นที่มีการลงทุนในกัมพูชา ปรับตัวลง ได้แก่
- หุ้น CBG ร่วง 3.55% ลดลง 1.50 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 40.75 บาท
- หุ้น OSP ร่วง 1.91% ลดลง 0.30 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 15.40 บาท
- หุ้น MAJOR ร่วง 1.54% ลดลง 0.10 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 6.40 บาท
- หุ้น BCH ร่วง 0.99% ลดลง 0.10 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 10.00 บาท
กรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในชายแดนไทยกับกัมพูชายังคงส่งผลกระทบต่อหุ้นที่มีการลงทุน และคาดว่าจะยังไม่สามารถจบลงได้ในเร็ว ๆ นี้ แม้ว่าจะมีรายงานถึงการต่อสายตรง จากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่ทว่ารัฐบาลไทยยังไม่สามารถยอมรับสถานการณ์ในฝั่งตรงข้ามได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับประเด็นของความเสียหายด้าน ชาตินิยม และความจำเป็นในการปกป้องจุดยืนของพรรคอนุรักษ์นิยม
นอกจากนี้ สถานการณ์ดังกล่าวยังเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจำเป็นต้องมีกาเข้มต่อไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ เพราะประเด็นดังกล่าวส่งผลต่อคะแนนเสียง
สำหรับหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้สูงในกัมพูชา อาทิ บริษัทที่ทำธุรกิจปั๊มน้ำมัน การขายเครื่องดื่ม หรือการฉายหนัง ควรชะลอการลงทุนไปก่อน โดยคาดว่าอาจจะต้องรอจนถึงประมาณต้นสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องมีการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ควรเลือกลงทุนใน หุ้น OSP เนื่องจากโอสถสภามีสัดส่วนธุรกิจในประเทศที่มากว่าคู่แข่ง สำหรับ หุ้น OR แม้จะมีสัดส่วนธุรกิจในกัมพูชา แต่ก็ไม่มากเท่าบริษัทอื่นจึงอาจจะพอเล่นได้
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลอย่าง BCH พอเล่นได้ แม้จะมีผลกระทบจากประเด็นกัมพูชาแต่ไม่มาก แต่ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาในช่วงที่ผ่านมาคือประเด็นอื่น ๆ เช่น เรื่องประกันสังคม ผู้ป่วยชาวคูเวทที่ลดลง ซึ่งรวมกันเป็น Perfect Storm ของบริษัท ซึ่งราคา 10 บาทเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญมาก เพราะหากราคาหลุดระดับดังกล่าวจะทำให้หุ้นเปลี่ยนหลักเป็น 9 บาท
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ได้ประเมินความเสี่ยงข้อพิพาทระหว่าง ไทย-กัมพูชา จะส่งผลต่อบริษัทจดทะเบียนรายอุตสาหกรรมอย่างไร โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.กลุ่มเครื่องดื่ม - CBG เป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด เนื่องจากรายได้จากกัมพูชาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 13% ของรายได้รวม (หรือคิดเป็น 37% ของยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังจากต่างประเทศ) นอกจากนี้ แผนการลงทุนสร้างโรงงานในกัมพูชาอาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ขณะที่ OSP (โอสถสภา) ได้รับผลกระทบจำกัดมาก เพราะมีสัดส่วนยอดขายในกัมพูชาเพียง 1-2%
2.กลุ่มพลังงาน - OR มีธุรกิจในกัมพูชา ทั้งสถานีบริการน้ำมัน 186 แห่ง ร้าน Cafe Amazon 254 แห่ง และร้านสะดวกซื้อ 71 แห่ง ซึ่งสร้างส่วนแบ่งกำไร (EBITDA) ราว 7.0% ของบริษัท แม้ปัจจุบันจะยังดำเนินงานปกติ แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
3.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง - บริษัทกลุ่มนี้มีการค้าชายแดนกับกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดย SCCC มีบริษัทร่วมทุนซึ่งสร้างส่วนแบ่งกำไรคิดเป็น 5-8% ของกำไรทั้งหมด ส่วน SCC มีรายได้จากกัมพูชาประมาณ 5-7% ของรายได้รวม
4.กลุ่มสื่อ - MAJOR ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่กัมพูชาสั่งระงับการฉายภาพยนตร์ไทย อย่างไรก็ตาม ผลกระทบด้านรายได้คาดว่าไม่รุนแรงนัก เนื่องจากรายได้จากโรงภาพยนตร์ 33 แห่งในกัมพูชา คิดเป็นเพียง 3% ของรายได้รวม และช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีหนังไทยในโปรแกรมฉายอยู่แล้ว
5.กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง - แม้บริษัทรับเหมารายใหญ่อย่าง CK และ STECON จะไม่มีโครงการในกัมพูชาโดยตรง แต่ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยพึ่งพิงแรงงานชาวกัมพูชาเป็นจำนวนมาก (ราว 1.6 แสนคน) หากสถานการณ์บานปลายจนเกิดการเคลื่อนย้ายหรือขาดแคลนแรงงาน อาจส่งผลกระทบต่อความล่าช้าของโครงการก่อสร้างทั่วประเทศได้
6.กลุ่มโรงพยาบาล - ผลกระทบโดยรวมไม่มากนัก คนไข้กัมพูชาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงซึ่งยังจำเป็นต้องรักษาพยาบาล หรือเป็นกลุ่มที่ทำงานในไทยอยู่แล้ว อาจมีเพียง Sentiment เชิงลบต่อ BCH ที่มีโรงพยาบาลในอรัญประเทศ ส่วน BDMS แม้มีโรงพยาบาล 2 แห่งในกัมพูชา แต่มีสัดส่วนรายได้เพียง 1% และเน้นลูกค้าชาวต่างชาติในพื้นที่เป็นหลัก
7.กลุ่มค้าปลีก - แม้ CPALL, CPAXT, BJC จะมีการขยายสาขาในกัมพูชา แต่เมื่อเทียบกับจำนวนสาขาทั้งหมดในไทยแล้วยังถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก (ต่ำกว่า 1-2%) จึงคาดว่าผลกระทบมีจำกัด
8.กลุ่มเกษตรและอาหาร - CPF มีการลงทุนและฐานการผลิตในกัมพูชา แต่เน้นขายในประเทศเป็นหลัก และคิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 3-4% ของรายได้รวม
9.กลุ่ม ICT, 10.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, และ 11.กลุ่มโรงไฟฟ้า ส่วนใหญ่บริษัทในกลุ่มเหล่านี้ มีการดำเนินงานและให้บริการภายในประเทศไทยเป็นหลัก และไม่มีการลงทุนที่มีนัยสำคัญในกัมพูชา จึงไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ดังกล่าว (ยกเว้น BGRIM ที่มีโรงไฟฟ้าโซลาร์สัดส่วนเพียง 1% ของกำลังผลิตรวม)







