‘ตลาดทุน’ เมินเกณฑ์ภาษีใหม่ TISA ลดหย่อนไม่ต่าง ‘อาร์เอ็มเอฟ-อีเอสจี’-เงื่อนไขถือครองยาว

‘ตลาดทุน’ เมินเกณฑ์ภาษีใหม่ TISA ลดหย่อนไม่ต่าง ‘อาร์เอ็มเอฟ-อีเอสจี’-เงื่อนไขถือครองยาว

‘ตลาดทุน’ เมินเกณฑ์ภาษีใหม่ ลดหย่อนไม่ต่าง ‘อาร์เอ็มเอฟ-อีเอสจี’-เงื่อนไขถือครองยาว ‘คลัง’ หวังเงินไหลเข้าตลาดทุน ออมรองรับเกษียณ

KEY

POINTS

  • นักวิเคราะห์มองว่าวงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด 800,000 บาทภายใต้เกณฑ์ใหม่ ไม่ได้แตกต่างจากสิทธิประโยชน์เดิมที่ได้จากกองทุน RMF และ Thai ESG รวมกัน จึงไม่สร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม
  • เงื่อนไขการลงทุนที่กำหนดให้ต้องถือครองหลักทรัพย์ยาวนานจนถึงอายุ 55 ปี ถูกวิจารณ์ว่าเป็นระยะเวลาที่นานเกินไปและเป็นอุปสรรคต่อนักลงทุน
  • ตลาดทุนไม่ตอบรับเชิงบวก เนื่องจากสิทธิประโยชน์โดยรวมไม่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้มีรายได้สูงซึ่งเป็นนักลงทุนกลุ่มหลักกลับถูกลดสิทธิ์การลดหย่อนลง
  • มาตรการถูกมองว่าไม่ได้มุ่งเน้นการจูงใจให้ออมเพิ่มขึ้น แต่เป็นการลดภาระต้นทุนของรัฐบาลที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้มีรายได้สูงมากกว่า
  • นักลงทุนจำนวนมากยังคงรอดูรายละเอียดและความชัดเจนเพิ่มเติม โดยเฉพาะเงื่อนไขการซื้อหุ้นรายตัวที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้

เปิดเกณฑ์ TISA ให้สิทธิลดหย่อนภาษี 8 แสนบาท กำหนดให้ประชาชนเปิดบัญชีผ่านแพลตฟอร์มใหม่ ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ 5 ปี ถือครองถึงอายุ 55 ปี ชี้รายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ลดหย่อนได้ 1.3 เท่า สูงสุดไม่เกิน 1.04 ล้านบาท “คลัง” หวังเงินไหลเข้าตลาดทุนไทย โบรกฯ มองไม่จูงใจการออม ห่วงเงื่อนไขถือครองนาน จับตาข้อถกเถียงเรื่องความเหลื่อมล้ำ

‘ตลาดทุน’ เมินเกณฑ์ภาษีใหม่ TISA ลดหย่อนไม่ต่าง ‘อาร์เอ็มเอฟ-อีเอสจี’-เงื่อนไขถือครองยาว

โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Savings Account หรือ TISA) เป็น 1 ใน 5 เสาหลักของนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวและเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายทั้งสินทรัพย์ในประเทศและต่างประเทศผ่านตลาดทุนไทย

เป้าหมายสำคัญอยู่ที่การเพิ่มความเพียงพอของเงินออมระยะยาวให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อยที่เป็นกลุ่มมีช่องว่างการออมสูงสุดเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันที่ 8 ธ.ค.2568 เห็นชอบโครงการ TISA เพื่อส่งเสริมการออมเกษียณสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ตามข้อเสนอกระทรวงการคลังและเตรียมที่จะเสนอ ครม.ให้ความเห็นชอบ

สำหรับโครงการ TISA จะเป็นการส่งเสริมการออมระยะยาวและเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายทั้งสินทรัพย์ในประเทศและต่างประเทศผ่านตลาดทุนไทย โดยกำหนดให้ประชาชนลงทะเบียนผ่านบัญชี TISA เพื่อการออมการลงทุนส่วนบุคคลที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2569 

ขณะที่การเปิดบัญชี TISA กับผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับและตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เช่น บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) เพื่อใช้สำหรับซื้อหลักทรัพย์

ส่วนวงเงินการลงทุนที่สามารถใช้สิทธิลดหยอนภาษีตามมาตรการ TISA รวมไม่เกิน 800,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนที่ครอบคลุม ดังนี้

1.ค่าซื้อใช้จ่ายการหลักทรัพย์ผ่าน TISA

2.ค่าใช้จ่ายซื้อหลักทรัพย์ผ่าน TISA ที่ภาครัฐต้องการสนับสนุน โดยต้องรอการกำหนดหลักทรัพย์ของกรมสรรพากร ที่จะออกประกาศใช้สำหรับการซื้อหลักทรัพย์ในช่วงวันที่ 1 ก.ค.2569 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2571

3.ค่าใช้จ่ายในการซื้อประกันชีวิตที่เป็นเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ

4.เงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท

5.เงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน

6.เงินสมทบกองทุนบำเน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)

7.เงินสมทบกองทุนกองทุนการออมแห่งชาติ

8.เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)

9.เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในยกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG Fund)

ทั้งนี้ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหรือไถ่ถอนหลักทรัพย์ใน TISA ได้กำหนดหลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีการถือหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 5 ปี รวมถึงกรณีการไถ่ถอนหลักทรัพย์เมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี การขายหรือไถ่ถอนเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มผ่าน TISA และการรับเงินปันผล ดอกเบี้ย เงินส่วนแบ่งกำไร

รวมทั้งกระทรวงการคลังได้กำหนดเงื่อนไขในการนำหลักทรัพย์ใน TISA ไปเป็นหลักประกันได้เพื่อความยืดหยุ่นของประชาชน โดยจะมีการกำหนดเงื่อนไข เช่น การรักษาพยาบาลตนเองหรือการรักษาผู้เยาว์ในปกครอง รวมถึงการนำไปใช้สำหรับการศึกษาของผู้เยาว์ในปกครอง

หลักเกณฑ์ช่วงเปลี่ยนผ่าน TISA

นอกจากนี้ ช่วงเปลี่ยนผ่านจากมาตรการภาษีส่งเสริมการออมระยะยาวเป็นมาตรการ TISA ได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนของประชาชนสำหรับการใช้จ่ายเพื่อเป็นค่าเบี้ยชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท, กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน, เงินสมทบกองทุน กบข., เงินสมทบกองทุน กอช., RMF และ Thai ESG Fund แบ่งเป็น 2 กรณี ประกอบด้วย

1.กรณีมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 1.5 ล้านบาท สามารถนำการลงทุนไปหักลดหย่อนได้ 1.3 เท่า สูงสุดไม่เกิน 1.04 ล้านบาท

2.กรณีมีเงินได้พึงประเมินเกิน 1.5 ล้านบาท สามารถนำการหักลดหย่อนได้ 0.7 เท่า สูงสุดไม่เกิน 560,000 บาท

รวมทั้งมีการกำหนดเงื่อนไขการบังคับใช้ที่แตกต่างกัน โดยค่าเบี้ยชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เฉพาะส่วนที่เกิน 10,000 บาท, กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน, กบข.และ กอช.มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ม.ค.2569

ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการซื้อหน่วยลงทุน RMF และ Thai ESG Fund กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2569

บัญชี TISA ไม่โดดเด่นรอดูหุ้นรายตัว

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กระแสตอบรับต่อนโยบายลดหย่อนภาษีการลงทุน บัญชี Tisa ล่าสุด ยังไม่โดดเด่นนัก เนื่องจากวงเงินสิทธิประโยชน์โดยรวมไม่ได้แตกต่างจากปัจจุบัน ขณะที่ผู้มีรายได้สูงอาจได้สิทธิลดหย่อนน้อยลง ส่งผลให้ตลาดทุนยังไม่ตอบรับเชิงบวก

อีกทั้ง นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะรอดูรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเงื่อนไขการซื้อหุ้นรายตัวที่จะสามารถนำมาลดหย่อนได้ ซึ่งยังไม่ชัดเจนในขณะนี้ ทำให้บรรยากาศการลงทุนอยู่ในภาวะ “รอลุ้น” มากกว่าการคาดหวังเชิงบวก

ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณวงเงินลดหย่อนโดยรวมจะมีแนวโน้มลดลง จึงไม่ถูกมองว่าเป็นแรงหนุนสำคัญต่อตลาดทุนในระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินผลกระทบและรอความชัดเจนจากภาครัฐก่อนตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติม

ชี้มาตรการภาษีคลัง จ่อชงครม. ไม่จูงใจ

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า มาตรการภาษีที่กระทรวงการคลังเตรียมนำเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มองว่าไม่ได้ต้องการจูงใจให้ประชาชนมีการออมสูงขึ้น เพราะหากต้องการจูงใจให้การออมสูงขึ้นจริงจะต้องมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น แต่ทว่ามาตรการดังกล่าวกลับมีเป้าหมายหลักในการเพื่อลดความเสี่ยงด้านการคลังลง และต้องลดภาระต้นทุนรัฐบาลต่อผู้มีรายได้สูง

โดยมาตรการดังกล่าวรัฐบาลมองว่าที่ผ่านมาต้องแบกรับต้นทุนที่สูงเกินไปในการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้มีรายได้สูงที่มีการออม เนื่องจากผู้มีรายได้สูงมีอัตราภาษีอยู่ที่ 30-35% การลดหย่อนภาษีทุกครั้งจึงส่งผลให้ได้รับการประหยัดภาษีสูงถึง 30% ตามอัตราภาษีของตน ซึ่งถือเป็นปริมาณที่สูงมาก

ดังนั้น มาตรการใหม่จึงออกแบบมาเพื่อลดปริมาณเงินที่สามารถนำไปลดหย่อนได้ลงอย่างน้อย 30% เพื่อให้ถึงแม้จะใช้เรทภาษีที่ 30% ก็ยังเป็นเรทที่ยอมรับได้ในทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจะทำให้การคลังไม่ต้องอุดหนุนเยอะ และสามารถได้รายได้เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ในทางกลับกันรัฐบาลได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ที่มีรายได้ต่อปีที่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ขึ้นมาเป็น 1.3 เท่า ซึ่งในการเพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับกลุ่มดังกล่าวอาจจูงใจให้มีการออมเพิ่มมากขึ้นได้ เนื่องจากมีการค้นพบตัวเลขว่า ส่วนใหญ่คนที่มีหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคลมักเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย

“มาตรการดังกล่าวต้องการลดความเหลื่อมล้ำ โดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับฝ่ายหนึ่งและลดลงสำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง ส่งผลให้ต้นทุนที่รัฐบาลต้องอุ้มผู้มีรายได้สูงน้อยลง และรัฐบาลได้รับเงินมากขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่รัฐบาลต้องการคือ การทำให้สิทธิประโยชน์ในการประหยัดภาษีของทั้งผู้มีรายได้สูงและต่ำมีความใกล้เคียงกัน”

สิทธิประโยชน์ 8 แสนบาท ไม่ต่างจากเดิม

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)กล่าวว่า มาตรการทางภาษีที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจต้องมีการปรับปรุงบางประเด็นเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะโดยรวมร่างมาตรการที่ปรากฏออกมายังดูเฉยๆ ไม่ได้มีการจูงใจนมากนัก 

ทั้งนี้เนื่องจากสิทธิประโยชน์สูงสุดที่ได้รับ 800,000 บาทนั้น ไม่ได้แตกต่างจากปัจจุบัน ที่เราสามารถใช้สิทธิประโยชน์เจากกองทุน RMF หรือ กองทุนบำนาญ ที่ 500,000 บาท ร่วมกับ THAIESG อีก 300,000 บาท

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังเผชิญกับเสียงวิจารณ์หลัก ๆ ในเรื่องของระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนานถึง 55 ปี แต่ถ้าหากระยะเวลาสั้นกว่านี้น่าจะดีกว่า

ขณะที่การลดความเหลื่อมล้ำ โดยการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้มีรายได้ไม่สูงมากที่ 1.3 เท่าของเงินลงทุน แต่การที่ไปจำกัดสิทธิ์ผู้ที่มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาทให้ใช้สิทธิ์ได้เพียง 0.7 เท่า กลับเป็นประเด็นถูกวิพากวิจารณ์ค่อนข้างมาก

“การปรับปรุงเกณฑ์เพื่อช่วยเหลือกลุ่มรายได้น้อยนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เนื่องจากเกณฑ์เดิมที่ไม่เป็นธรรม เพราะสิทธิประโยชน์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับฐานภาษี ทำให้ผู้ที่มีฐานภาษีต่ำ ๆ 10% หรือ 15% ขาดแรงจูงใจที่จะซื้อเพื่อลงทุน เพราะผลตอบแทนที่ได้จากการหักภาษีน้อยมาก แต่ทว่าการไปทอนสิทธิประโยชน์ของกลุ่มที่มีรายได้เกิน 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ลงทุนหลัก และเป็นผู้ที่เสียภาษีหลักถือเป็นปัญหา ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้คาดมาตรการดังกล่าวอาจต้องมีการปรับปรุงบางข้อก่อนนำเข้า ครม. อย่างเป็นทางการหรือไม่”

เงื่อนไขถือครองที่กำหนดนานไป

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความกังวลในมาตรการภาษีประหยัดภาษีเฟสแรกที่มีการปรับปรุงเกณฑ์รายได้ โดยการปรับใช้เกณฑ์รายได้ 1.5 ล้านบาท ทำให้คนที่มีรายได้สูงได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีน้อยลง จึงเกิดข้อสงสัยว่า บุคคลกลุ่มดังกล่าวยังจะสนใจซื้อกองทุนประหยัดภาษีเพื่อนำไปใช้ลดหย่อนอีกหรือไม่

สำหรับมาตรการ TISA ซึ่งเป็นการให้ซื้อหุ้นเพื่อไปลดหย่อนภาษีนั้น มองมาตรการดังกล่าวส่วนหนึ่งก็ไปแทนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือRMF อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าคิดอยู่ที่เงื่อนไขการถือครองที่กำหนดให้ต้องถือครองไปจนถึงอายุ 55 ปี ด้วยระยะเวลาการถือครองที่นาน ทำให้เกิดคำถามว่า จะมีคนต้องการลงทุนภายใต้เงื่อนไขนี้อยู่มากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตาดู ณ ขณะนี้ ยังเป็นเรื่องที่ตอบยาก และต้องรอความชัดเจนของรายละเอียดอีกทีหนึ่ง เนื่องจากเกณฑ์ที่แท้จริงของมาตรการก็ยังไม่เป็นที่รับรู้ และยังไม่ทราบแน่ชัดว่าข่าวที่เห็นว่าครม.เศรษฐกิจอนุมัตินั้นเป็นเกณฑ์ที่แท้จริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การประเมินมาตรการทางภาษีใหม่ยังคงต้องรอติดตามรายละเอียดและเกณฑ์ที่แท้จริงที่จะมีการบังคับใช้ในสัปดาห์หน้า เพื่อประเมินผลกระทบต่อตลาดทุนอย่างรอบด้านต่อไป

รัฐบาลหวังเงินไหลเข้าตลาดทุน

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.2568 ว่า จะเพิ่มวงเงินลดหย่อนเป็น 800,000 บาท โดยไม่ต้องขอปีต่อปี และให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ลดหย่อนเพิ่มขึ้น ซึ่งออมได้ 1.3 เท่า 

รวมทั้งคนส่วนใหญ่ 11.4 ล้านคน จะได้ประโยชย์จากส่วนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมสูงอายุ และมีแหล่งระดมเงินออมมากขึ้นมีเงินเข้าตลาดทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจ “Quick Big Win” ที่มีหลักการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว ผ่านนโยบาย 5 เสาหลัก ได้แก่

1.กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายคนละครึ่งพลัส ที่ปัจจุบันใช้จ่ายเงินลงระบบเศรษฐกิจจากรัฐบาลและประชาชนแล้ว 70,000 ล้านบาท

2.มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน โดยดำเนินการผ่านมาตรการรถไฟฟ้า 40 บาทแบบเหมาจ่าย การลดค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2569

3.มาตรการส่งเสริม SMEs โดยปล่อยกู้สินเชื่อต่ำและค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs วงเงินรวม 327,000 ล้านบาท

4.เพิ่มเงินออมประชาชน มีมาตรการเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันที่ 8 ธ.ค.2568

5.การส่งเสริมการลงทุนเพื่ออนาคต เช่น มาตรการเร่งรัดการดึงดูดการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อปลดล็อกการลงทุนในโครงการ Thailand Fast Pass กว่า 3 แสนล้านบาท